“หมอตุลย์” รุดยื่น ปธ.วุฒิสภา ขอเสียง สว. ลงดาบสองฟัน “แพทองธาร ชินวัตร” พ้นเก้าอี้ รมว.วัฒนธรรม สวนพรรคประชาชน นิติสงครามไร้ผล ถ้านักการเมืองและรัฐบาลทำหน้าที่ตัวเองสมบูรณ์
เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 2 กรกฎาคม 2568 นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เข้ายื่นร้องต่อนายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ที่รัฐสภา เพื่อขอให้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยถอดถอน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม โดย นพ.ตุลย์ กล่าวว่า ตามที่ประธานวุฒิสภาได้ยื่นคำร้องของ สว. จำนวน 36 คน ต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยถอดถอน น.ส.แพทองธาร จากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เนื่องจากขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 มาตรา 160 (4) และ (5) คือ ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และมีพฤติกรรมฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณารับคำร้องดังกล่าว และมีคำสั่งให้ น.ส.แพทองธาร หยุดปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นการชั่วคราว จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย
บัดนี้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง น.ส.แพทองธาร เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม จึงเป็นกรณีที่ต้องวินิจฉัยว่า น.ส.แพทองธาร ขาดคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม และไม่สามารถดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมได้หรือไม่ ตนจึงขอเสนอให้ สว. จำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ร่วมกันลงชื่อให้ประธานวุฒิสภา ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยว่าความเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมของ น.ส.แพทองธาร สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่ และขอให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ น.ส.แพทองธาร หยุดปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมไว้ก่อน จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย
...
นพ.ตุลย์ กล่าวต่อไป เป็นที่น่าสงสัยว่าก่อนมีคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญออกมา แต่นายกรัฐมนตรียังเสนอชื่อทูลเกล้าฯ ตัวเองทั้งที่อาจจะถูกข้อกล่าวหาทั้งการผิดจริยธรรมและความไม่ซื่อสัตย์สุจริต จนคนให้ทำประเทศตั้งข้อสงสัยว่าอย่างนี้แล้วจะสามารถดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมได้อย่างไร เพราะตามกลไกแล้ว ศาลรัฐธรรมนูญสามารถพิจารณาเรื่องนี้ได้ เพราะมองว่าพรรคฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลคงไม่ยื่น ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเขาทำอะไรกันอยู่ ดังนั้น ตนจึงขอเสนอให้ สว. ทำหน้าที่ในการพิจารณาเข้าชื่อเพื่อยื่นคำร้องจำนวนไม่น้อยกว่า 20 คน หากจะได้เท่าเดิม 36 คนก็ยิ่งดี
พร้อมยืนยันว่ากระบวนการนี้ทำในนามส่วนตัว ไม่ใช่ในนามของกลุ่มรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตย ซึ่งคำสั่งเช่นนี้เป็นไปเพื่อป้องกันสิ่งที่อาจทำให้ส่งผลเสียต่อการบริหารราชการแผ่นดิน จึงให้รักษาการนายกรัฐมนตรีมีหน้าที่ดำเนินการแทน เว้นแต่การยุบสภา หรือการแต่งตั้งรัฐมนตรีใหม่ อย่างไรก็ดี ในการพิจารณาตนขอไม่ก้าวล่วง แต่คาดว่าศาลรัฐธรรมนูญน่าจะมองเช่นนี้ และคาดว่าในสุดท้ายแล้วน่าจะมีการพิจารณาถอดถอน
เมื่อถามว่าหาก น.ส.แพทองธาร ตัดสินใจลาออกจะมีการดำเนินการอย่างไรต่อไป นพ.ตุลย์ ตอบว่า ให้เป็นไปตามวิถีทางประชาธิปไตย เพราะในส่วนของสภาฯ เองยังสามารถเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่จากแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีที่ยังเหลืออยู่ หรือสามารถใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญในการเลือกนายกรัฐมนตรีคนนอกได้ ส่วนหากมีการเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่จากพรรคเพื่อไทยตามเดิมก็ต้องปล่อยให้เป็นไปตามวิถีทาง แต่บังเอิญว่าพรรคฝ่ายค้านหรือพรรคประชาชนไม่ได้อยู่ในลิสต์แล้ว เพราะเขามีการเสนอมาเพียงชื่อเดียว แต่หากสุดท้ายเป็นเหมือนกรณีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เมื่อบริหารราชการไปแล้วมีปัญหา ประชาชนก็จะใช้สิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญ
“ตอนนี้จะเห็นว่าหลายคนจากพรรคฝ่ายค้านและผู้เกี่ยวข้อง ทั้งคุณธนาธร (จึงรุ่งเรืองกิจ), คุณปิยบุตร (แสงกนกกุล) คุณพรรณิการ์ (วานิช) หัวหน้าเท้ง (นายณัฐพงษ์ เรืองปัญหาวุฒิ) หรือคุณรังสิมันต์ (โรม) ออกมาพูดคำว่านิติสงครามกันมาก ผมจึงคิดว่านิติสงครามเป็นเครื่องมือของภาคประชาชนที่จะดำเนินการกับนักการเมืองที่ทำไม่ถูกต้อง เราก็เหลือแต่เครื่องมืออย่างนี้ ขอบอกว่าหากนักการเมืองหรือรัฐบาลทำหน้าที่ได้อย่างถูกต้อง ก็ไม่ต้องกลัวนิติสงครามใดๆ ไม่มีอะไรระคายผิวคุณได้ ถึงยื่นไปศาล, ป.ป.ช., กกต. เขาก็ไม่ลงโทษคุณ เพราะฉะนั้นรัฐบาลหรือนักการเมืองท่านใดก็ตาม กรุณาอย่าห่วงเรื่องนิติสงคราม กรุณาทำหน้าที่ตามที่ท่านได้อาสาเข้ามารับใช้ประเทศชาติและประชาชนอย่างแท้จริง ตามที่คุณกล่าวอ้างตอนหาเสียง คุณไม่ต้องห่วงการที่ประชาชนจะใช้นิติสงครามได้ มีอยู่กรณีเดียวคือคุณทำหน้าที่ไม่ถูกต้องอย่างร้ายแรง”