เข้าสู่ครึ่งหลังของปี 2568 อย่างเป็นทางการ วันที่ 1 ก.ค.2568 ท่ามกลางเรื่องหนักๆ ที่ทำให้คนไทยต้องลุ้นระทึกกันหลายเรื่อง ทั้งภาวะเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มจะเข้าสู่สถานการณ์ วิกฤติมากขึ้น รวมทั้งสถานการณ์การเมืองไทยที่อยู่ในจุดเปราะบาง และมีโอกาสที่จะลุกลามเข้าสู่สถานการณ์รุนแรง

ทั้งนี้ จากช่วงก่อนหน้าปัญหาที่หนักอกหนักใจที่สุดของเศรษฐกิจไทยปีนี้คือ ความกังวลผลกระทบที่จะมาจากการประกาศปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยของสหรัฐฯ โดยจะจัดเก็บในอัตรา 36% เพื่อตอบโต้ที่ไทยเกินดุลการค้าสหรัฐฯเป็นอันดับ 12 ของโลก

แต่สถานการณ์ล่าสุด แม้ความกังวลดังกล่าวจะไม่หายไป แต่ก็เบาใจไปได้ระดับหนึ่ง เพราะ รมว.คลัง “พิชัย ชุณหวชิร” ยืนยันว่า สหรัฐฯได้รับนัดที่จะเริ่มการเจรจาต่อรองการค้ากับไทยแล้ว โดยจะได้เจรจากับ รมว.คลังสหรัฐฯช่วงสัปดาห์นี้ และหากการเจรจานัดแรกเป็นที่น่าพอใจ สหรัฐฯก็อาจจะคงการเก็บภาษีนำเข้าจากสินค้าไทยไว้ที่ 10% ไปจนกว่าการเจรจาจะสำเร็จ และคาดกันว่าหากจบการเจรจาภาษีที่สหรัฐฯเก็บจากไทยน่าจะไม่เกิน 20%

วันนี้ หากถามภาคเอกชนว่ากังวลเรื่องไหนมากที่สุด ตอบว่ากังวลความเสี่ยงทางการเมืองมากสุด เพราะเสถียรภาพของนายกฯ และรัฐบาลกำลังสั่นคลอนอย่างหนัก และปัจจัยการเมืองดังกล่าวกำลังส่งผลต่อการทำงานของข้าราชการ การชะลอโครงการ รวมทั้ง การชะลอการลงทุนของนักลงทุนไทย ต่างประเทศ และรัฐวิสาหกิจ และหากสถานการณ์รุนแรงขึ้น อาจจะกระทบต่ออัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยให้ทรุดหนักจนถึงขั้นติดลบ

ทั้งนี้ แม้ว่านายกรัฐมนตรี และพรรคร่วมรัฐบาล จะทำใจดีสู้เสือเหมือนไม่สะทกสะท้าน เดินหน้าทำงานต่อเนื่อง รวมทั้งเสนอปรับเปลี่ยนตำแหน่งรัฐมนตรีตามโควตาพรรคร่วมรัฐบาลที่เปลี่ยนไป แต่ในใจลึกๆเชื่อว่าคนเบื้องหลังรัฐบาลได้มีการเตรียม “แผนบี แผนซี” ไว้พร้อมที่จะใช้ หากมีอุบัติเหตุทางการเมือง ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไปโดยไม่คาดคิด

...

โดยเฉพาะประเด็นคลิปเสียง “หลานสาวอังเคิล” ที่หลุดออกมา ซึ่งเปลาะแรกคงต้องลุ้นก่อนว่า ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจะรับคำร้องการถอดถอนนายกรัฐมนตรีจากประเด็นนี้หรือไม่ และนายกรัฐมนตรีจำเป็นต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ หากศาลรัฐธรรมนูญรับ
กรณีดังกล่าวไว้พิจารณา

นอกจากนั้น ยังต้องกังวลแรงกดดันจากภาคประชาชนที่ลงถนนเพื่อขับไล่นายกฯ ว่าจะนอกเหนือจากประเด็น “คลิปเสียง” แล้ว จะมีประเด็นอื่นเพิ่มเติมจน “จุดติด” หรือไม่ เพราะดูฟอร์มแล้วว่า “คงจะยื้อยาวๆไม่ยอมจบง่ายๆ”

ท้ายที่สุด นอกเหนือจากประเด็นร้อนๆ 2 เรื่องนี้แล้ว ยังมี “การตัดสินใจเลือกผู้ว่าการแบงก์ชาติคนใหม่” ซึ่งตามกำหนดการในวันที่ 1 หรือ 2 ก.ค.นี้ เราจะได้รู้ชื่อผู้ที่ รมว.คลัง คัดเลือกให้เป็นผู้ว่าการคนใหม่กันแล้ว จะออกมาเป็นคนไหน จะลดทอนกระแสการเมือง หรือเพิ่มความร้อนแรงทางการเมืองขึ้นหรือไม่ และผู้ว่าการคนใหม่จะสามารถช่วยเศรษฐกิจไทยที่กำลังตกหล่มวันนี้ให้ดีขึ้นได้อย่างไร เป็นอีก 1 เรื่องที่คนไทยต้องลุ้นกัน.

มิสเตอร์พี

คลิกอ่านคอลัมน์ “กระจก 8 หน้า” เพิ่มเติม