“ณัฐพงษ์” เชื่อ “แพทองธาร” เจอแน่คำขู่จากพรรคร่วมรัฐบาล จี้ยุบสภาคืนเสียงให้ประชาชน ส่วนการแก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา แนะรัฐบาลใช้มาตรการถูกจุด พุ่งเป้าไปที่ “สมเด็จฮุน เซน”
วันที่ 29 มิถุนายน 2568 นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน ให้สัมภาษณ์ถึงคณะรัฐมนตรี (ครม.) รัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี หรือ ครม.แพทองธาร 2 ว่า สภาพการตั้งรัฐบาลแบบนี้ที่เป็นเสียงปริ่มน้ำ เราจะเห็นแต่ละพรรคร่วมรัฐบาลออกมาส่งข้อเรียกร้อง ส่งคำขู่ตลอด เช่น การถอนตัวออกจากพรรคร่วมบ้าง อะไรบ้าง คงจะเห็นสถานการณ์แบบนี้ไปเรื่อยๆ แทบจะทุกครั้งที่มีการโหวตกฎหมายในสภาฯ ด้วยซ้ำ
พรรคประชาชนจึงเรียกร้องให้ยุบสภา เพราะหากรัฐบาลยังเป็นแบบนี้ไม่น่าจะแก้ไขปัญหาอะไรให้กับประชาชนได้ ลำพังการเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี หรือการที่ น.ส.แพทองธาร ยังเดินหน้าต่อเหมือนเดิม ก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาอะไรให้กับประชาชนได้ ต้องคืนเสียงให้กับประชาชนตัดสินถึงจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด
เมื่อถามว่าตอนนี้รายชื่อ ครม.ชุดใหม่ขึ้นทูลเกล้าฯ แล้ว ประเมินว่าถ้าไปต่ออุบัติเหตุทางการเมืองจะเกิดขึ้นได้ง่ายหรือไม่ นายณัฐพงษ์ ตอบว่า มีความเป็นไปได้ ไม่ใช่แค่ในสถานการณ์อย่างนี้ หากมองไปข้างหน้าทุกกฎหมายที่เสนอเข้าสู่สภาฯ หรือทุกการลงมติที่สำคัญ ตราบใดที่เป็นการจัดตั้งรัฐบาลแบบนี้ที่เสียงปริ่มน้ำ พรรคร่วมรัฐบาลก็สามารถส่งคำขู่เพื่อเรียกร้องต่อรองผลประโยชน์ของตัวเองให้ได้มากที่สุด ตนมองไม่เห็นเลยว่ารัฐบาลพรรคเพื่อไทยจะสามารถบริหารและคุมเสียงได้อย่างมีเสถียรภาพอย่างไร ตราบใดที่เดินหน้าแบบนี้อยู่ก็คงไม่สามารถหาทางออกให้กับประเทศได้
...
ปัญหาชายแดน แนะใช้มาตรการพุ่งเป้าไปที่ “สมเด็จฮุน เซน”
ขณะเดียวกัน นายณัฐพงษ์ ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ยังให้สัมภาษณ์ถึงทางออกของสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า สิ่งที่เป็นอยู่เห็นได้ค่อนข้างชัดเจนว่ารากเหง้าของปัญหามาจากความขัดแย้งระหว่างตระกูลหรือครอบครัวผู้นำทั้ง 2 ประเทศ วันหนึ่งที่ประโยชน์ของ 2 ตระกูลนี้ราบรื่น สมประโยชน์ ก็ดูเหมือนไม่มีปัญหาอะไร แต่พอวันหนึ่งเมื่อมีความขัดแย้ง ขัดผลประโยชน์ ไม่ลงรอยกัน ก็ลุกลามบานปลายมาสู่ความขัดแย้งในระดับประเทศด้วย เพราะฉะนั้นภาพใหญ่ในการแก้ไขปัญหาไทย-กัมพูชา ตนคิดว่าต้องพูดคุยระหว่างรัฐต่อรัฐ ไม่ใช่พูดคุยด้วยความสัมพันธ์ครอบครัว
ส่วนมาตรการเฉพาะหน้า ตนคิดว่าสิ่งที่รัฐบาลดำเนินการอยู่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ การใช้มาตรการกดดันต่างๆ ก็เป็นมาตรการที่สามารถเดินหน้าได้ ซึ่งเรื่องการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ก็เป็นสิ่งที่พวกเราเรียกร้องมาโดยตลอด แต่ก็อยากให้รัฐบาลเลือกใช้มาตรการอย่างถูกต้องและถูกเวลา
“ควรเลือกใช้มาตรการที่พุ่งเป้าไปยังสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา คนที่มีอำนาจมากที่สุดก่อน ส่วนมาตรการอื่นๆ เช่น มาตรการกดดันทางด้านเศรษฐกิจ เป็นสิ่งที่ทำได้แต่ควรจะต้องใช้ให้ถูกที่ ถูกเวลา ถูกจุดด้วย ผมยกตัวอย่างมาตรการที่พุ่งเป้าไปยังสมเด็จฮุน เซน คือการดำเนินคดี สืบหาคนที่ลอบสังหาร นายลิม กิมยา อดีตแกนนำฝ่ายค้านกัมพูชา ที่เสียชีวิตที่ประเทศไทย รัฐบาลสามารถเดินหน้าได้เลย เพราะโดยสภาพการเราเห็นได้ค่อนข้างชัด แม้มือปืนเป็นคนไทยแต่คนชี้เป้าเป็นคนกัมพูชา ซึ่งมีความสนิทสนมใกล้ชิดกับเครือข่ายของสมเด็จฮุน เซน ถ้าเราเดินหน้าเรื่องนี้อย่างจริงจัง จะเป็นอีกหนึ่งมาตรการที่สามารถสร้างแรงกดดันที่ตัวสมเด็จฮุน เซน ได้โดยตรง”