พรรคเพื่อไทย ประสานเสียงไม่เอารัฐประหาร รับไม่ได้แกนนำม็อบปราศรัยเนื้อหาปลุกระดม “ดนุพร” ชี้ 20 ปีที่ผ่านมา ประชาชนเจ็บปวด สูญเสียมากพอแล้ว “เต้น” ยัน ยุบสภาไม่ใช่ทางออก ด้าน “ก่อแก้ว” ถามหาจุดยืน “จตุพร”
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 29 มิถุนายน 2568 ที่พรรคเพื่อไทย นายดนุพร ปุณณกันต์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบบัญชีรายชื่อและโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงสถานการณ์ชุมนุมของกลุ่มรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตยชาติ เมื่อวันที่ 28 มิถุนายนที่ผ่านมา ว่า นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี (ครม.) และพรรคเพื่อไทย ยืนยันว่าการชุมนุมเป็นการแสดงออกเป็นสิทธิตามกฎหมายและรัฐธรรมนูญ โดยปราศจากความรุนแรง อาวุธ และชอบด้วยกฎหมาย
แต่สิ่งที่พรรคเพื่อไทยเป็นห่วงคือเนื้อหาการปลุกระดมของแกนนำบางคนที่พูดถึงการปฏิวัติรัฐประหาร เป็นสิ่งที่ไม่อาจรับได้ ขอเรียกร้องไปยังประชาชนที่รักในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ว่าจะไม่เดินทางไปสู่การปฏิวัติรัฐประหารอีกแล้ว 20 ปีที่ผ่านมาประชาชนเจ็บปวด ประเมินค่าไม่ได้ สูญเสียชีวิตจำนวนมากกับการเรียกร้องและขัดขวางการรัฐประหาร พรรคเพื่อไทยไม่อาจรับได้เรื่องการปฏิวัติรัฐประหาร
...
“เต้น” ยัน ยุบสภาไม่ใช่ทางออก
ทางด้าน นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี (น.ส.แพทองธาร ชินวัตร) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กในตอนหนึ่งว่า ข้อเรียกร้องและเนื้อหาการปราศรัยทำให้เห็นจุดหมาย แต่น่ากังวลเรื่องปลายทาง จุดหมายคือล้มรัฐบาล ปลุกกระแสชาตินิยมกดดันให้ น.ส.แพทองธาร ลาออก บีบพรรคร่วมถอนตัว แต่ออกแล้วก็คงไม่จบ เพราะดูเหมือนปลายทางไม่ใช่การมีรัฐบาลใหม่ในสภาฯ ชุดนี้ ถ้านายกรัฐมนตรีลาออก พรรคเพื่อไทยแกนนำรัฐบาลยังมีแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีอีกคนคือ นายชัยเกษม นิติสิริ เชื่อว่าแกนนำม็อบก็ไม่ยอมรับ การชุมนุมต่อต้านยังมีต่อ
“เอาคนอื่นมาเป็นนายกฯ ก็ไม่แน่ว่าจะได้ เพราะแกนนำหลักพูดชัดว่าถ้าทหารจะทำอะไร (หมายถึงรัฐประหาร) ก็ไม่ขัด บ้างก็ว่าต้องร่วมกันร่างรัฐธรรมนูญขึ้นเอง บ้างก็จะปฏิวัติโดยไม่เกี่ยวกับนักการเมือง สัญญาณแบบนี้ปลายทางไม่ใช่วิถีประชาธิปไตย แต่เป็นการโยนโจทย์สำคัญสู่สังคมไทย ว่ากลุ่มนี้ทำทางยึดอำนาจมาแล้ว 2 รอบ สนใจทำแฮททริกหรือไม่ ผมยังยืนยันเช่นเดิมว่าสถานการณ์นี้ยุบสภาไม่ใช่ทางออก”
ทั้งนี้ ถ้าบอกว่าดึงช้าไปไม่ยอมยุบจะนำประเทศเข้าสู่ทางตัน ก็ต้องย้อนไปดูประวัติศาสตร์ระยะใกล้ ยุครัฐบาลไทยรักไทย มีการชุมนุมเปิดตัวกลุ่มพันธมิตรฯ เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2549 ต่อมารัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร ประกาศยุบสภาในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ปีเดียวกัน นายสุเทพ เทือกสุบรรณ นัดเป่านกหวีดต้านพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมครั้งแรกวันที่ 31 ตุลาคม 2556 หลังจากนั้นรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยุบสภา 9 ธันวาคม
“ทักษิณ ยุบสภาใน 15 วัน แต่มีการสร้างสถานการณ์ต่อเนื่องอีก 7 เดือน จนเกิดรัฐประหาร 19 กันยายน ยิ่งลักษณ์ใช้เวลา 1 เดือนกับอีก 9 วันยุบสภา แต่เรื่องไม่จบ คนกลุ่มเดียวกันเคลื่อนไหวกดดัน ขัดขวางการเลือกตั้ง 5 เดือนผ่านไป คสช. ก็ยึดอำนาจในวันที่ 22 พฤษภาคม ผมเคารพสิทธิเสรีภาพและไม่ได้กล่าวร้ายคณะแกนนำ แต่ยกเรื่องจริงมาพูด เพราะฟังการปราศรัยและดูองค์ประกอบวันนี้มันให้ความรู้สึกคล้ายวันเหล่านั้น”
นายณัฐวุฒิ ระบุอีกว่า ความไม่พอใจในตัวนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลมีอยู่จริง แต่ประชาชนที่สนับสนุนก็มีอยู่ด้วย การแสดงออก กดดัน หรือขับไล่ เป็นสิทธิที่ทำได้ภายใต้กรอบกฎหมาย แต่การตัดสินใจก็เป็นสิทธิขาดอำนาจเต็มของนายกรัฐมนตรี ซึ่งทุกฝ่ายก็ต้องยอมรับเช่นกัน ตนไม่เคยคิดว่าคนที่มาชุมนุมเป็นปฏิปักษ์ และไม่เชื่อว่าจะไปไกลถึงขั้นเห็นด้วยกับรัฐประหารทั้งหมด ในรอบกว่า 20 ปีที่ผ่านมากลุ่มพลังที่เรียกร้องรัฐประหารไม่เคยเป็นอันดับหนึ่งในการเลือกตั้ง จะกล่าวอ้างว่าเป็นความต้องการของคนส่วนใหญ่ไม่ได้
ความเห็นของตนคือวันนี้ต้องสามัคคีประเทศไทยเพื่อรับมือภัยคุกคามจากภายนอก ถ้ารัฐบาลล้มจะกลายเป็นเกมฝ่ายประเทศเพื่อนบ้านล้มเราได้ สถานการณ์จะยิ่งเสียหาย มีคนบอกว่าช้าไปจะถูกยึด ต้องยืนหลักให้ชัดว่ารัฐประหารคือวิธีการนอกระบบ ไม่มีเงื่อนไขใดๆ ให้เกิดขึ้น เที่ยวนี้ถ้าจะยึดก็ให้ยึดทั้งที่ยังเป็นรัฐบาลเต็มตัวไม่ใช่รักษาการ ตนว่าจะยึดยากกว่าถ้าเทียบกับ 2 ครั้งที่ผ่านมา เรื่องนี้ไม่ได้กล่าวหาหรือกดดันกองทัพ เพราะท่าทีผู้นำเหล่าทัพยังไม่มีอะไรน่ากังวล แต่พูดตามเนื้อผ้า เป้าหมายคือรักษาหลักการประชาธิปไตย
ในช่วงท้าย นายณัฐวุฒิ ขอให้ช่วยกันรักษาเสถียรภาพทางการเมือง ปกป้องอธิปไตยของประเทศ สร้างสันติภาพให้ประชาชนก่อน อายุขัยทางการเมืองของรัฐบาลนี้จะอย่างไรก็ไม่เกิน 2 ปี หรืออาจจะเร็วกว่านั้น ให้กลไกประชาธิปไตยทำงานของมัน พรรคการเมืองทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาล ถ้ายังหันหน้าเข้าหากันไม่ได้ก็ต้องเอาหลังพิงกันปฏิเสธอำนาจนอกระบบ ไม่ยอมรับการเคลื่อนไหวเพื่อเปิดทางให้รัฐประหาร เพื่อรักษาไว้ทั้งเอกราชและอำนาจประชาชน
“ดร.หญิง” ลั่น ต้องไม่เปิดทางให้รัฐประหาร
ขณะที่ น.ส.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ก็มีความเคลื่อนไหวโพสต์ข้อความผ่านทาง X (ทวิตเตอร์) ระบุถึงเรื่องการชุมนุม ว่า การแสดงออกทางการเมืองเป็นสิทธิ์ของประชาชน แต่ไม่ว่าเราจะคิดเห็นต่างกันเพียงใด สิ่งหนึ่งที่ต้องยืนหยัดร่วมกันคือไม่เปิดทางให้รัฐประหาร เราเคยเห็นมาแล้วหลายครั้งว่าวิธีนี้ไม่ได้แก้ปัญหา กลับสร้างบาดแผลลึกในบ้านเมือง การเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนต้องเกิดจากประชาชน ผ่านกลไกประชาธิปไตย ไม่ใช่อำนาจนอกระบบ และรัฐบาลในวันนี้ก็กำลังทำหน้าที่ปกป้องอำนาจอธิปไตยของประเทศ ยืนอยู่บนหลักนิติรัฐ ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย และจะไม่ยอมให้เงื่อนไขใดๆ กลายเป็นช่องทางของการทำลายประชาธิปไตยอีกต่อไป
“ถ้อยคำที่ได้พบเห็นจากการชุมนุมเมื่อวานนี้จำนวนมาก ล้วนเป็นข้อความที่บิดเบือน และมีลักษณะบ่อนทำลายความเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตยอย่างชัดเจน ขอให้ประชาชนใช้วิจารณญาณ ไม่ปล่อยให้ข้อความอันเป็นเท็จทำลายรากฐานของการฟื้นฟูประเทศ” พร้อมติดแฮชแท็ก #ไม่เอารัฐประหาร #ยึดมั่นประชาธิปไตย
“ก่อแก้ว” ถามหาจุดยืน “จตุพร”
ทางด้าน นายก่อแก้ว พิกุลทอง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ว่า ปี 2549 นายจตุพร พรหมพันธุ์ ชวนตนไปจัดรายการทีวีเพื่อคัดค้านสื่อเลือกข้าง ชวนตนและประชาชนจำนวนมากไปสนามหลวงเพื่อต่อต้านการรัฐประหาร วันนั้นตนไม่คิดมาก ไปทันที “ในปี 2568 ผ่านไปเกือบ 20 ปีจากวันนั้น คุณสนธิ ลิ้มทองกุล เชิญชวนให้มีการรัฐประหารโดยมีคุณอยู่บนเวที คุณจะยังยืนอยู่บนเวทีเดียวกันอีกหรือ ถ้ายังยืนอยู่ ก็ควรถูกตั้งคำถามว่าตกลงแล้ว จุดยืนคุณคืออะไร?”