"ฮุนเซน" คุยมีอาวุธยิงถึงกรุงเทพฯ แค่อ้าง ตรวจสอบแล้วไม่มี เทียบยุทโธปกรณ์ไทยไม่ได้

กองทัพจับโป๊ะ "ฮุนเซน" มีอาวุธยิงถึงกรุงเทพ ชี้ตรวจสอบแล้วแต่ละชิ้นประสิทธิภาพต่ำ แต่คุยโว หากเทียบกับยุทโธปกรณ์ของไทย ไปกลับกรุงพนมเปญได้อย่างสบาย

วันที่ 27 มิถุนายน 2568 แหล่งข่าวในกองทัพเปิดเผยถึงคำกล่าวอ้างของสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภา และประธานองคมนตรีกัมพูชา ว่ามีอาวุธยิงถึงกรุงเทพฯ ว่า กัมพูชาไม่มีขีดความสามารถขนาดนั้น และไม่มีอาวุธชนิดใดที่จะยิงถึงกรุงเทพฯ ซึ่งอาวุธที่จะยิงถึงกรุงเทพฯ ได้อย่างน้อยต้องมีพิสัยยิงมากกว่า 300 กิโลเมตรขึ้นไป แต่กัมพูชาไม่มี โดยอาวุธปล่อยของกัมพูชาที่รู้จักและเปิดเผยมี PHL-03 MRL เป็นระบบจรวดหลายลำกล้องของจีน คล้าย BM-30 Smerch มีพิสัยยิงมาตรฐาน 70–130 กม. ขึ้นอยู่กับกระสุน แม้แต่รุ่นปรับปรุง AR-2 ก็มีพิสัยราว 150 กม. เท่านั้น 

แหล่งข่าวกองทัพระบุอีกว่า ตามฐานข้อมูลไม่มีหลักฐานว่ากัมพูชามีขีปนาวุธพิสัยไกลกว่า 200 กม. ไม่มีขีดความสามารถด้านขีปนาวุธนำวิถีพื้นสู่พื้น และไม่มีอากาศยานขับไล่ติดอาวุธปล่อยระยะไกล เพราะกัมพูชาไม่มีเครื่องบินขับไล่ ไม่มีอากาศยานรบในกองทัพอากาศ ไม่มีเรดาร์ควบคุมการบิน หรือระบบสั่งการสมัยใหม่ และไม่มียุทโธปกรณ์ที่ต้องอาศัยการฝึกนักบินระดับสูง ขนาดประเทศเล็กกว่าอย่างลาว ยังมี Yak-130 ที่เป็นเครื่องบินฝึกโจมตี แต่กัมพูชายังไม่มีแม้แต่ UAV 

สำหรับงบประมาณของกัมพูชา โดยเฉพาะงบกลาโหมในปี 2567 มีประมาณ 550 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 20,000 ล้านบาท เมื่อเทียบกับงบกลาโหมของไทย แค่ Gripen E/F เพียง 4 ลำ ก็ใช้งบประมาณราว 19,000 ล้านบาท เท่ากับงบทั้งกระทรวงกลาโหมกัมพูชาทั้งปีแล้ว

แหล่งข่าวยังบอกด้วยว่า หากเทียบขีดความสามารถของฝ่ายไทย มีเครื่องบินรบ Gripen C/D, F-16 A/B eMLU, F-5TH, T-50TH เครื่องบินเหล่านี้มีพิสัยโจมตีถึงพนมเปญและยังสามารถบินกลับฐานได้สบาย และมีอาวุธนำวิถีแม่นยำ เช่น GBU-49 (GPS/Laser Guided Bomb), AIM-120 AMRAAM, และ AGM-65 Maverick

"คำกล่าวอ้างของสมเด็จฮุน เซน ว่ามีอาวุธที่สามารถโจมตีถึงกรุงเทพฯ แต่ไม่มีความประสงค์จะใช้จึงเป็นคำพูดไร้น้ำหนักในเชิงยุทธศาสตร์ เพราะไม่ปรากฏยุทโธปกรณ์ที่มีขีดความสามารถดังกล่าว และกัมพูชาไม่มีระบบอาวุธพิสัยไกลและระบบควบคุมการยิงที่รองรับ ที่สำคัญไม่มีงบประมาณและโครงสร้างพื้นฐานในการพัฒนาจึงสันนิษฐานได้ว่า เป็นการกล่าวเพื่อสร้างแรงกดดันทางการเมืองภายใน และเสริมภาพลักษณ์ผู้นำ ไม่ใช่ข้อเท็จจริงเชิงยุทธศาสตร์" แหล่งข่าวความมั่นคง ระบุ