ปิดฉากอย่างฉันมิตรกับการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย–กัมพูชา (JBC) ครั้งที่ 6 ด้วยทั้ง 2 ฝ่ายลงนามบันทึกการประชุมร่วมกันเน้นย้ำความสำคัญกลไกการจัดทำหลักเขตแดน “ฝ่ายไทย” จะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสมัยพิเศษครั้งต่อไปในเดือน ก.ย.นี้
แม้ผลประชุมจะดูเป็นที่พอใจ “กัมพูชา” ก็พยายามนำข้อพิพาท 3 ปราสาท 1 พื้นที่ที่ไปฟ้องศาลโลกเข้าหารือให้บันทึกไว้ในการประชุมครั้งนี้ที่เป็นเทคนิคทางกฎหมายมัดมือชกให้ยอมรับส่งผลให้ “ฝ่ายไทยค้านสุดซอย” เพราะไม่ยอมรับอำนาจศาลโลก รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร นักวิชาการด้านความมั่นคงและการต่างประเทศมองว่า
คราวนี้กัมพูชาค่อนข้างเดินเกมเร็วกระชับกว่าเดิม สามารถสังเกตจากกรณีท่าทีของฝรั่งเศส และผู้นำกัมพูชาออกมาให้ข่าวอย่างต่อเนื่อง หรือแม้แต่การยื่นเรื่องต่อศาลโลก ซึ่งทุกอย่างดำเนินไปอย่างรวดเร็วมาก
ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะ “กัมพูชาตกผลึกการเดินเกม” อีกทั้งทีมคณะทำงานก็คุ้นเคยกับแนวทางการดำเนินงานแบบนี้ที่เรียกว่า “นโยบายสามง่าม” กล่าวคือ ง่ามแรก...นายฮุน เซน ประธานรัฐสภา ดำเนินนโยบายที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนประกาศไม่ได้รุกรานไทยเพียงแต่ป้องกันอธิปไตยเท่านั้น

...
ขณะที่ “พล.ท.ฮุน มานิต” ลงพื้นที่ชายแดนกับพรรคร่วมรัฐบาล 40 พรรค มอบสิ่งของให้กำลังใจครอบครัวผู้เสียชีวิตเหตุปะทะ “ฮุน เซน” ก็สื่อสารกับฝ่ายไทยว่าไม่มีคำสั่งให้ใช้กำลังเป็นเพียงการป้องกันเฉพาะหน้า
ง่ามที่สอง...กัมพูชาเดินเกมรุกทางยุทธวิธีเคลื่อนกำลังสู่ชายแดนพร้อมอาวุธหนัก “อันเป็นการสถาปนาแนวต้าน หรือเขตกันชนทางยุทธวิธี” เพื่อชิงความได้เปรียบทางทหาร และทางการเมืองระหว่างประเทศกับไทยในอนาคต ทั้งใช้ความสูญเสียของทหารปลุกกระแสรักชาติหวังผลทางการเมืองในประเทศ
สิ่งสำคัญกองบัญชาการทหารสูงสุดกัมพูชายังออกแถลงการณ์ว่า “ฝ่ายกัมพูชาจะไม่ถอนกำลัง หรือวางกำลังโดยไม่ติดอาวุธ” เพราะฝ่ายกัมพูชาได้ครอบครองพื้นที่มาก่อนมีการลงนามใน MOU 2543
ง่ามสุดท้าย...กองทัพบกกัมพูชาดำเนินนโยบายมิตรภาพกับ “ฝ่ายไทย” โดย ผบ.ทบ.สองฝ่ายออกแถลงการณ์ร่วมแสดงความเสียใจต่อเหตุสูญเสีย และย้ำเจตนารมณ์ใช้สันติวิธียืนยันไม่ละเมิดอธิปไตยซึ่งกันและกัน รวมถึงเห็นพ้องจัดประชุม JBC และ RBC เพื่อแก้ปัญหาโดยเฉพาะพื้นที่ช่องบกพร้อมตกลงถอนกำลังออกจากพื้นที่
จริงๆ แล้วกัมพูชาเห็นโอกาสว่า “ไทยตั้งหลักยังไม่ได้” สามารถ ดูจากสื่อกัมพูชาเมื่อ 9 มิ.ย.2568 “โจมตีนายกฯไทยว่าอ่อนประสบการณ์” ถูกครอบงำ และไม่รู้ประวัติศาสตร์ส่งผลให้กัมพูชาเร่งเดินเกมเร็วขึ้น
อย่างไรก็ดีเมื่อถึงจุดหนึ่ง “ไทยก็น่าจะมีโอกาสรุกกลับได้” เพียงแต่ขณะนี้ยังตั้งรับได้ไม่ดีทำให้กัมพูชาจับสัญญาณชีพจรอ่อนบางอย่าง “กลายเป็นจังหวะเดินเกมรุก” เพราะอย่าลืมว่ากัมพูชาผ่านศึกสงครามมามาก ถ้าใช้ภาษาชาวบ้าน “นักเลงมักพูดภาษานักเลง” เมื่อเจอผู้นำคนใหม่ของไทยไม่ว่าจะใครก็มักลองเชิงเสมอ
เพื่อดูท่าทีการเมือง การทหาร ประชาชน สามารถเดินไปทิศทางเดียวกันที่จะสร้างความเจ็บปวดให้กัมพูชาระดับใด เมื่อฝ่ายไทยแสดงความติดขัดก็จะเดินเกมต่อทันที ดังนั้นไทยต้องตั้งหลักให้ได้เป็นอันดับแรกๆ เช่น ประชุมสภาความมั่นคง การสั่งการเป็นระบบ และผลักดันนโยบายสามง่ามของไทยเดินคู่ขนานกับสามง่ามกัมพูชา
เรื่องนี้หลายฝ่ายเห็นตรงกันว่า “กัมพูชาวางแผนเตรียมตัวมานาน” แต่ในมุมส่วนตัวมองว่ากัมพูชาเตรียมพร้อมมาตลอดเพียงแค่รอจังหวะที่เหมาะสม “เดินเกมรุก” โดยจุดตัดสินใจน่าจะเกิดขึ้นในช่วงปลายปีที่แล้วหลังนายกฯกัมพูชาพบกับนายกฯไทย เพราะกัมพูชาน่าจะประเมินแล้วว่าผู้นำไทยไม่น่าจะเอาจริงเอาจังมาก

ยิ่งกว่านั้นแนวคิดฝ่ายทหารไทยก็เพิ่งปรับให้เป็นเนื้อเดียวกันได้ไม่นานนี้ ดังนั้นในแง่การเตรียมตัวพื้นฐานกัมพูชาทำการบ้าน มาตลอด ทั้งล็อบบี้ติดตามความเคลื่อนไหวนานาชาติ ฝรั่งเศส ศาลโลกและสหประชาชาติ
แม้แต่ รมว.ต่างประเทศคนใหม่ของกัมพูชาก็ยังเป็นทีมเดิมจากรัฐบาลชุดก่อน สะท้อนถึงการต่อยอดยุทธศาสตร์เดิมที่วางไว้ ขณะที่แนวต้านของไทยกลับอ่อนแอไม่พร้อมรับสถานการณ์จากความประมาทที่คิดว่า “ผู้นำกัมพูชาสนิทกับอดีตผู้นำไทยไม่น่าจะเดินเกมแรง” ซึ่งความประมาทนี้กลายเป็นจุดอ่อนสำคัญ
“ผมคิดว่าฮุน เซนตั้งใจเดินสุดซอยสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ หรือ Historical Legacy ด้วยเวลาเหลือน้อยมีเป้าหมายสถาปนาความเข้มแข็งให้ประเทศ ถ้าไม่ทำตอนนี้ต่างหากเป็นเรื่องแปลกเพราะไทยไม่เคยตระหนักถึงประวัติศาสตร์ไม่เคยมีนักการเมืองประกาศจะทิ้งมรดกทางประวัติศาสตร์ไว้ให้ลูกหลานด้วยซ้ำ”รศ.ดร.ปณิธาน ว่า
ตอกย้ำว่าช่วงที่ผ่านมา “กัมพูชาสถาปนาความเข้มแข็งได้พอสมควร” โดยเฉพาะกับเวียดนามที่แทบไม่มีปัญหากันแล้วความสัมพันธ์กับ สปป.ลาวก็ราบรื่นไม่ขัดแย้งรุนแรงเหมือนอดีต แถมผนึกกำลังกับมหาอำนาจอย่างจีน สหรัฐฯ และญี่ปุ่น ซึ่งยิ่งชัดเจนว่าภารกิจสุดท้ายของฮุน เซนที่ต้องทำให้สำเร็จคือการสร้างประวัติศาสตร์ใหม่
ถ้าหากย้อนมาดู “กัมพูชารุกล้ำเขตไทยถึง 30 จุด” โดยเฉพาะช่องบกจุดสูงข่มแล้วก็มีการนำจรวดมาจ่อเล็งไทยถือเป็นเรื่องน่าเกลียดหรือไม่ เรื่องนี้ทหารควรเคลียร์ตั้งแต่แรกไม่ใช่ปล่อยให้บานปลาย “ละเมิด MOU43 ซ้ำหลายร้อยครั้ง” ทำให้สถานการณ์ดูแปลกๆ จนต้องตั้งข้อสังเกตว่ามีการสั่งห้ามหน่วยงานในพื้นที่หรือไม่
เพราะผ่านมา 2 รัฐบาลตั้งแต่ปี 2567 แถมมีเหตุเผาศาลาก็น่าจะเดินหน้าผลักดันแล้วแสดงให้เห็นว่าแนวรับไทยยังไม่แข็งแรง และแนวต้านทางทหารยังอ่อนแออาจมีพันธนาการบางอย่างจำกัดการเคลื่อนไหวอยู่หรือไม่
ส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่า “ฝ่ายทหารอาจประเมินสถานการณ์ต่ำเกินไป” ทำให้ไม่พร้อมรับในสถานการณ์จริงที่อาจจะมีแรงกดดันข้อจำกัดจาก “ฝ่ายการเมือง” ทำให้ทหารขยับไม่เต็มที่ก็ได้ ในส่วนกระทรวงการต่างประเทศก็อยู่ในภาวะชะงักงันมาตั้งแต่ช่วงปลายรัฐบาล คสช.แล้ว คนส่วนใหญ่ก็รู้สาเหตุแต่ไม่พูดถึงกัน...

ทำให้คนเก่งๆ มือดีๆ “หลายคนเลือกหนีไปหมด” อย่างไรก็ตามก็มองด้วยความกังวลในกระทรวงก็ขัดแย้งกันรุนแรงมาก เรื่องนี้อาจเป็นความอ่อนแอจนทำให้กัมพูชาเหมือนได้กลิ่นมานานเลยได้จังหวะเดินเกมลุยมากกว่าสมัยก่อนเหมือนกับการทวงความแค้นในเหตุการณ์ปะทะกันเมื่อปี 2554 ด้วย
ฉะนั้นไทยก็อย่าหลงทางกัมพูชา “อย่าแพ้เหลี่ยมคนไม่หวังดีต่อชาติบ้านเมือง” ผู้นำไทยในทุกภาคส่วนต้องทั้งนุ่มนวล รักสันติ และจะต้องเข้มแข็ง รวดเร็ว ชัดเจน ไม่นุ่มนิ่มยวบยาบชักช้าในยามที่บ้านเมืองกำลังเข้าสู่สภาวะที่ล่อแหลมเช่นนี้...
คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม