“เท้ง ณัฐพงษ์” แถลงจี้ “นายกฯ อิ๊งค์” ยุบสภา คืนอำนาจประชาชน เป็นทางออกที่ดีที่สุด ลั่น ปชน. พร้อมเลือกตั้ง ย้ำไม่เป็นรัฐบาลในสภาชุดนี้แน่นอน เคยเตือนแล้ว การผสมพันธุ์ข้ามขั้วแก้ปัญหาประเทศไม่ได้

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 19 มิถุนายน 2568 นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร แถลงข่าวที่รัฐสภา ถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจากกรณีคลิปเสียงหลุดของ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภาและอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา (คลิปนายกฯ 17 นาทีเต็ม “อิ๊งค์” คุย “อังเคิลฮุน เซน” รับปมไทย-กัมพูชาทำรัฐบาลสั่นคลอนที่สุด) และต่อมามีการประกาศถอนตัวจากการร่วมรัฐบาลของพรรคภูมิใจไทย และยังมีการแถลงข่าวของ นายภราดร ปริศนานันทกุล สส.อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย ประกาศลาออกจากตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2

นายณัฐพงษ์ คิดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานจากกรณีนี้ถือเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่นางสาวแพทองธาร ได้ทำลายความเชื่อมั่นของประชาชนต่อการบริหารราชการแผ่นดินในฐานะนายกรัฐมนตรีไปจนหมดสิ้นแล้ว การจัดตั้งรัฐบาลของพรรคเพื่อไทยที่มีการตระบัดสัตย์ จัดตั้งรัฐบาลผสมพันธุ์ข้ามขั้ว ที่เราเคยเตือนแล้วว่าการจัดตั้งรัฐบาลแบบนี้ไม่สามารถแก้ปัญหาใหญ่ๆ ให้กับประเทศได้ 2 ปีที่ผ่านมาภายใต้การบริหารประเทศของพรรคเพื่อไทยเราเห็นแล้วว่าไม่สามารถที่จะส่งมอบคำสัญญาต่างๆ รวมถึงการแก้ปัญหาใหญ่ๆให้กับประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ การปฏิรูปกองทัพ รวมถึงการแก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องที่ประชาชนหลายคนในวันนั้นอาจจะพอมีความหวังอยู่บ้างว่าพรรคเพื่อไทยที่เคยเก่งเรื่องเศรษฐกิจจะสามารถแก้ปัญหาได้

...

แต่ 2 ปีที่ผ่านมาเห็นแล้วว่าในภาพใหญ่การจัดตั้งรัฐบาลที่เป็นการข้ามขั้วไม่สามารถแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนได้และทำลายความเชื่อมั่นของประชาชนต่อการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลมาโดยตลอด เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานเป็นเหตุการณ์วิกฤตของตัวผู้นำที่นางสาวแพทองธาร ได้ทำลายความเชื่อมั่นต่อตัวผู้นำประเทศไปจนหมดสิ้น บรรยากาศในสังคมเมื่อวานมีข้อเรียกร้องหลายอย่างที่อยากจะนำเพื่อนสมาชิกมาแถลงข่าวโดยมี 2 วัตถุประสงค์คือ เพื่อเตือนสติสังคมคนไทยทุกคนและร่วมหาทางออกให้กับประเทศนี้ร่วมกัน มีทั้งข้อเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีใช้อำนาจยุบสภา และข้อเรียกร้องที่ 2 คืออยากจะให้นายกรัฐมนตรีลาออก ส่วนข้อเรียกร้องที่ 3 ที่อาจจะเลยเถิดไปค่อนข้างมาก คือการเรียกร้องให้เกิดการใช้อำนาจนอกระบบอย่างเช่นการปฏิวัติรัฐประหาร

ทั้งนี้ อารมณ์ของสังคมตอนนี้เราขาดความเชื่อมั่นต่อผู้นำประเทศ แต่อยากยืนหยัดและชวนประชาชนตั้งคำถามกับตัวเองว่าทุกวันนี้ต้องการอะไร เชื่อมั่นว่าทุกคนต้องการรัฐบาลที่ต้องการแก้ไขปัญหาให้กับประเทศได้ ดังนั้นทางออกเดียว รัฐบาลที่มีความชอบธรรมต้องนำมาตามระบบกลไกของระบอบประชาธิปไตย อารมณ์ของสังคมที่เกิดขึ้นในวันนี้ที่อาจจะมีม็อบไปทำเนียบรัฐบาล อยากให้ทุกคนสื่อสารว่าการปฏิวัติรัฐประหารไม่ใช่ทางออกแน่นอน อย่าให้อารมณ์ของสังคมเลยเถิดไปถึงเรื่องนั้น

นายณัฐพงษ์ ระบุต่อในประเด็นการลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเพียงพอหรือไม่อย่างไร ตามสมการหน้ากระดานทางการเมืองที่เป็นอยู่ ตัวเลขจำนวน สส.แต่ละพรรคในสภาฯ ตอนนี้ “รวมถึงจุดยืนของพรรคประชาชนที่เราประกาศชัดมาโดยตลอดว่าถึงแม้จะมีสถานการณ์ที่เกิดขึ้นล่าสุด ภายใต้รัฐสภาชุดนี้เราจะไม่เป็นรัฐบาลแน่นอน” รวมถึงรายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีที่ยื่นต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในการเลือกตั้งปี 2566 ยกตัวอย่างเช่น พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา, พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รวมถึงท่านอื่นๆ

“ผมคิดว่าการใช้ช่องทางในการลาออกหรือกระแสเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออก ภายใต้สมการทางการเมือง ภายใต้กระดานทางการเมืองแบบที่เป็นอยู่ และแคนดิเดตนายกฯ ที่เหลืออยู่ ณ ตอนนี้ไม่ใช่ทางออก ไม่ใช่รัฐบาลที่ดีที่สุด ไม่ใช่รัฐบาลที่สามารถสร้างทางออกให้กับประเทศได้

ดังนั้นด้วยบริบทสถานการณ์ทั้งหมดที่เป็นอยู่ จุดยืนของผม จุดยืนของพรรคประชาชน คือการเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีใช้อำนาจในการยุบสภาเพื่อคืนอำนาจให้กับประชาชนในการเลือกตั้งครั้งใหม่ เลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่เข้ามาแก้ไขปัญหาให้กับประเทศ รวมถึงส่งข้อเรียกร้องไปยังพรรคร่วมรัฐบาลในปัจจุบันที่อาจจะยังไม่ได้ออกมาประกาศถอนตัวออกจากการร่วมรัฐบาล”

ถ้าท่านคิดเห็นตรงกันเช่นเดียวกับพวกเราว่าการใช้อำนาจนอกระบบไม่ใช่ทางออก รวมถึงการเปลี่ยนตัวแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีอย่างเดียวก็ไม่ใช่ทางออก ถ้าท่านไม่ได้ต้องการอยู่ในอำนาจต่อ เพื่อต่อรองตำแหน่งต่างๆ เล็งเห็นการหาทางออกให้กับประเทศไทยมากกว่า และสร้างรัฐบาลที่มีความชอบธรรมมากกว่า เพื่อกู้ความเชื่อมั่นพี่น้องประชาชนกลับมา อยากเรียกร้องให้หลายๆ พรรคให้มีมติถอนตัวออกจากการร่วมรัฐบาลเช่นกัน วันนี้อยากให้ทำให้เกิดความชัดเจนว่าทำไมจุดยืนพรรคประชาชนจึงอยากเรียกร้องให้ยุบสภาโดยไม่ใช้ช่องทางอื่นๆ

จากนั้นนายณัฐพงษ์ ตอบคำถามสื่อมวลชนถึงความพร้อมในการเลือกตั้งหากมีการยุบสภา ว่า ถ้าสมมติวันนี้มีการประกาศออกมาว่ามีการยุบสภา เราพร้อมมีการเลือกตั้งทันที โครงสร้างต่างๆภายในพรรค เรามีความพร้อมเต็มที่ รวมถึงนโยบายที่เราได้สะสมและเตรียมงานกันมาหลายปี มีชุดกฎหมายอีกหลายชุดที่เชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าถ้าเราได้รับความไว้วางใจจากพ่อแม่พี่น้องประชาชนภายใต้การประชุมสภาสมัยแรกเราพร้อมที่จะผลักดันกฎหมายทุกฉบับที่เราได้เตรียมมา

นายณัฐพงษ์ ระบุต่อไป อยากให้ประชาชนทุกกลุ่มไม่ว่าจะออกมาเรียกร้องโดยใช้กลไกแบบไหนเพื่อไล่นายกรัฐมนตรี อยากให้ตั้งคำถามกับตัวเองว่ากำลังต้องการอะไร แต่เชื่อว่าทุกคนต้องการรัฐบาลที่แก้ไขปัญหาให้กับประเทศได้ รัฐบาลที่มีความชอบธรรม บ้านที่สามารถสร้างฉันทามติใหม่ สร้างฝันใหม่ให้กับประชาชนคนไทยได้ ดังนั้นกลไกการปฏิวัติรัฐประหารไม่ใช่ทางออกแน่นอนเพราะไม่ได้เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย เสียง สส.ในสภาฯ และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีที่เป็นอยู่จะเห็นว่าหลายส่วนที่ต้องตั้งคำถามอยู่ สิ่งที่จะเป็นทางออกจริงๆ ของประเทศคือการยุบสภา ให้ทุกพรรคนำเสนอนโยบายของตัวเองให้ประชาชนได้ออกไปใช้สิทธิ์ใช้เสียงของตัวเองในการเลือกรัฐบาลใหม่อีกครั้ง

โดยวันนี้ยังต้องรอการประชุมจากพรรคร่วมรัฐบาลอีกหลายพรรคว่าจะออกมาเป็นอย่างไร แต่ตนคงจะคาดการณ์ล่วงหน้าหรือตัดสินใจแทนไม่ได้ แต่ขอส่งข้อเรียกร้องไปยังทุกพรรคการเมืองเช่นเดียวกัน โดยทวนคำถามว่าสิ่งที่ประชาชนต้องการมากที่สุดคือรัฐบาลที่สามารถสร้างทางออกให้กับประเทศได้ หน้าที่ของพรรคการเมืองคือการนำเสนอนโยบายการบริหารประเทศตามที่ได้หาเสียงไว้และหาทางออกให้กับประเทศ ถ้าพรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตยเชื่อมั่นว่าอำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน ภายใต้การจัดตั้งรัฐบาลที่เป็นอยู่ไม่สามารถหาทางออกให้กับประเทศได้ ทางออกอย่างเดียวคือการยุบสภา คืนอำนาจให้กับประชาชน

ส่วนข้อกังวลที่หากมีการยุบสภาอาจจะกระทบต่อการบริหารราชการแผ่นดินรวมถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชานั้น นายณัฐพงษ์ ตอบว่า กลไกตามรัฐธรรมนูญในปัจจุบันรัฐบาลรักษาการมีอำนาจในการรักษาราชการแผ่นดินในระดับหนึ่งแต่จะมีเงื่อนไขบางอย่างคือจะไม่สามารถตั้งงบประมาณผูกพันไปยังคณะรัฐมนตรีชุดหน้าได้ ถึงแม้จะมีการยุบสภาแล้วแต่รัฐบาลรักษาการยังสามารถใช้กลไกในระบบราชการปัจจุบันในการแก้ไขปัญหาระหว่างประเทศที่เกิดขึ้นได้อยู่ ไม่ใช่ว่าการยุบสภาจะทำให้เกิดสุญญากาศแต่อย่างใด คิดว่าสิ่งที่ทำให้เกิดสุญญากาศ การขาดความเชื่อมั่นของประชาชนในประเทศเรื่องภาวะผู้นำของตัวนายกรัฐมนตรีมากกว่า

พร้อมระบุถึงกรณีการยื่นร้องนายกรัฐมนตรี ว่า น่าจะมีทั้งผู้ร้องไปร้องอยู่แล้ว แต่จุดยืนของตนเองและพรรคประชาชนไม่อยากใช้กลไกใดๆ ที่เป็นกลไกที่ทางฝั่งตรงข้ามเคยใช้เป็นกระบวนการทางนิติสงครามทำลายล้างพรรคการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง มาจากเสียงของพี่น้องประชาชน ใครจะยื่นร้องอย่างไรอาจจะให้ยื่นตามกระบวนที่เขามีช่องทางอยู่ แต่พรรคประชาชนเรียกร้องอย่างเดียว ณ ตอนนี้คือเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีใช้อำนาจของตัวเองในการยุบสภา

พร้อมย้ำว่า “จุดยืนของพรรคประชาชนไม่มีทางที่จะคัดค้านการเลือกตั้งแน่นอน ดังนั้นถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่มีการประกาศยุบสภา เราคงไม่ได้เห็นการแสดงออกของพรรคประชาชนแน่นอนว่าเราจะพยายามขัดขวางกระบวนการเลือกตั้งแต่อย่างใด กลับกันมีแต่จะมุ่งหน้าสู่การเลือกตั้ง รณรงค์การแข่งขันอย่างดีที่สุด นำเสนอทางออก นำเสนอนโยบายต่อพ่อแม่พี่น้องประชาชนมากที่สุด และเดินหน้ากระบวนการเลือกตั้งและการตั้งรัฐบาลใหม่ที่มีความชอบธรรมสูงให้เกิดขึ้นโดยเร็วที่สุดมากกว่า”

ทั้งนี้ ตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ ถ้าสภาฯ ไม่สามารถที่จะผ่านร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ได้ สามารถใช้ร่างปีที่แล้วไปพลางก่อนได้ ซึ่งภาพรวมในวาระแรกภาพรวมทั้ง 2 ปีแทบไม่ต่างกันเลย ไม่ได้บอกว่าการยุบสภาไม่ส่งผลอะไรเลย ส่งผลกระทบแน่นอนในการพิจารณางบประมาณ แต่ภาพรวมของประเทศตอนนี้ตัวระบบงบประมาณสามารถเดินไปได้ก่อนบางส่วนโดยใช้งบประมาณปี 2568 ไปพลางก่อน แต่ถ้าเราเดินหน้าให้มีรัฐบาลใหม่ที่มีความชอบธรรมสูง มีการยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ เราอาจจะกำลังพิจารณางบประมาณ 2569 ที่มีหน้าตาเปลี่ยนแปลงไปจากงบประมาณปี 2568 อย่างมีนัยสำคัญ เพื่อตอบโจทย์ปัญหาของประเทศได้มากกว่า แม้จะมีความล่าช้าออกไปบ้าง แต่เชื่อว่าก็ยังมีโอกาส ถ้าเดินหน้าเต็มที่ มีรัฐบาลใหม่ตั้งใจเข้าจัดทำงบประมาณแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนได้

นายณัฐพงษ์ ยังกล่าวอีกว่า การทูตที่ในแบบกับนอกแบบ ไม่ได้เห็นค้านว่าจะต้องใช้ทุกช่องทางในการสร้างประโยชน์หรือทางออกให้กับประเทศ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นคลิปเสียงที่หลุดออกมา ที่นายกรัฐมนตรีพยายามใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวโดยมีการสื่อสารบางอย่างจะมีปัญหา เช่นการสื่อสารว่ารัฐบาลอยู่ตรงข้ามกับกองทัพ ทั้งที่ก่อนหน้านี้นายกรัฐมนตรีก็สื่อสารมาโดยตลอดว่ากำกับดูแลกองทัพ คิดว่าการสื่อสารแบบนี้โดยอาศัยความสัมพันธ์ส่วนตัวเป็นปัญหามากกว่า รวมถึงความสัมพันธ์อื่นๆ อย่างเช่น นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี สิ่งที่จำเป็น ณ ตอนนี้คือการใช้เวทีระหว่างประเทศ 2 เวทีในการพูดคุยหาทางออกต่อกัน

“คลิปเสียงหลุดออกมาเมื่อวาน สิ่งที่เราอยากได้ยินมากที่สุดจากการสื่อสารของนายกฯ คือการพยายามจะโน้มน้าวแนวทางกัมพูชาให้กลับมาใช้เวทีแบบทวิภาคีระหว่าง 2 ประเทศ แต่เรากลับไม่ได้ยินการสื่อสารแบบนั้น”

พร้อมกันนี้ นายณัฐพงษ์ ยังตอบคำถามในเรื่องของกองทัพว่า หน้าที่ของกองทัพคือหน้าที่ในการปกป้องประเทศ และการสื่อสารใดๆ ที่เป็นการสื่อสารทางการเมือง หรือการสื่อสารที่กระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จะต้องเป็นหน้าที่ของรัฐบาลพลเรือน กองทัพมีหน้าที่ในการทำตามคำสั่งภายใต้รัฐบาลพลเรือนเท่านั้น ถ้าจะให้ส่งข้อเรียกร้องไปยังทางกองทัพต่างๆ ตนไม่ได้คิดว่าในภาพรวมส่วนใหญ่กองทัพจะเป็นแบบนี้ แต่ก็อาจจะมีบางส่วนที่ถ้ามีการสื่อสารออกมาและพยายามจะใช้กระแสในปัจจุบันเพื่อนำไปสู่บางอย่าง อย่างเช่นกระบวนการที่จะได้รัฐบาลใหม่ซึ่งไม่ได้เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย ไม่อยากให้เกิดแบบนั้นขึ้น และไม่อยากเห็นการสื่อสารออกมาจากทางตัวแทนของกองทัพแบบนั้น

ในช่วงท้าย นายณัฐพงษ์ ระบุว่า จากนี้ต้องดูการประชุมพรรคร่วมรัฐบาลแต่ละพรรคในวันนี้ว่าผลในที่ประชุมออกมาเป็นอย่างไร ในกรณีพรรคเพื่อไทยสามารถคุมเสียงข้างมากได้อยู่ สิ่งที่จะเกิดขึ้นแน่นอนคือความเชื่อมั่นศรัทธาของพี่น้องประชาชนที่เสื่อมถอยลงไปเรื่อยๆ และพรรคประชาชนพร้อมที่จะใช้กลไกทุกอย่างในสภาฯ เช่น การลงมติต่างๆ ในสภาฯ ทุกเวที เพื่อที่จะกดดันให้นายกรัฐมนตรียุบสภาโดยเร็วที่สุด.