“นันทนา” ชม คกก.ไต่สวน กล้าหาญเรียกแกนนำและสส.พรรคภูมิใจไทย สอบปากคำปมฮั้ว สว. มองข้อหาล้มล้างการปกครองรุนแรง แต่ช่วยเบรกแทรกแซงฝ่ายนิติบัญญัติได้
วันที่ 17 มิ.ย.2568 ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.นันทนา นันทวโรภาส สมาชิกวุฒิสภา กล่าวถึงกรณีการตรวจสอบการได้มาของ สว.เสียงข้างมาก ว่า ตนได้ยุติแล้ว แต่ในส่วนของ นายภัทรพงศ์ ศุภักษร หรือ ทนายอั๋น ได้ดำเนินการไปยื่นเรื่องกับผู้ตรวจการแผ่นดิน เพื่อส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ให้พิจารณาว่าการทำหน้าที่ของ สว. ในขณะที่เป็นผู้ต้องหา ควรจะหยุดปฏิบัติหน้าที่ก่อนหรือไม่
ส่วนคำถามที่ว่ามีความคิดเห็นอย่างไรที่ คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนส่วนกลางคณะที่ 26 เรียกหัวหน้าพรรค กรรมการบริหารพรรค และ สส.พรรคภูมิใจไทย ให้ปากคำเพิ่มเติมคดีฮั้วเลือก สว. น.ส.นันทนา กล่าวว่า ส่วนตัวไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องการฮั้ว สว. ข้อมูลต่างๆ เห็นจากผู้ที่เกี่ยวข้องไม่ว่า สว.สำรอง หรือผู้ที่อยู่ในกระบวนการ ได้เห็นการทำงานของดีเอสไอ และกกต. ในคณะอนุที่ 26 ขอชื่นชมว่ามีความกล้าหาญ เพราะได้ออกหมายเรียกบุคคลที่มีความสำคัญในระดับต้นๆ ของพรรคการเมือง เพื่อแจ้งข้อกล่าวหาและเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
“ถือว่าเป็นความกล้าหาญ ขอให้กำลังใจว่าตรงนี้ ประชาชนจำนวนมากต้องการให้ทราบถึงข้อเท็จจริงทั้งหมดว่าการได้มาซึ่ง สว.ชุดนี้ มีกระบวนการอย่างไร สุจริตโปร่งใสหรือไม่ สุดท้ายผู้บงการควรได้รับการดำเนินคดีจนถึงที่สุด ถ้าผิดจริงต้องรับโทษ”

...
สำหรับข้อหาล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย ถือว่ารุนแรงหรือไม่นั้น น.ส.นันทนา มองว่า ข้อหานี้ดูเหมือนค่อนข้างเข้มข้นรุนแรง แต่ลองนึกถึงข้อเท็จจริงว่าถ้ามีกลุ่มคนกลุ่มใดสามารถกำหนดวางแผนนำมาซึ่งผู้ที่จะเข้ามาเป็น สว.เสียงข้างมาก หมายความว่า “อำนาจนิติบัญญัติครึ่งหนึ่งจะเป็นของคนกลุ่มนี้ สามารถเห็นชอบผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ เป็นอำนาจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ นี่เป็นอำนาจที่ยิ่งใหญ่มากๆ ไม่ควรเป็นอำนาจที่คนใดคนหนึ่ง หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็นผู้กำหนด” แล้วฮั้วกันเข้ามา แฮ็กระบบเข้ามาเพื่อทำให้ฝ่ายนิติบัญญัติเป็นของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหรือพรรคใดพรรคหนึ่ง นี่คืออันตรายต่อระบอบประชาธิปไตยเป็นอย่างยิ่ง ถ้ามองว่าเป็นการล้มล้างการปกครองก็น่าจะใช่ เพราะกลุ่มคนที่เข้ามาต้องการอำนาจนิติบัญญัติเป็นของกลุ่มตัวเอง