เพื่อไทยจ่อปราม สส. หลังมีท่าทีไล่ภูมิใจไทยเป็นฝ่ายค้าน รับกังวลหากเสียงพรรคร่วมรัฐบาลหายไปกว่า 70 เสียง แต่มั่นใจ “นายกฯ แพทองธาร” คุยได้ ยืนยันต้องปรับปรุง ไทยสื่อสารช้ากว่ากัมพูชา
เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2568 นายดนุพร ปุณณกันต์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบบัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) ให้สัมภาษณ์ถึงการประชุม สส.พรรคเพื่อไทย ในวันที่ 17 มิถุนายนนี้ ว่า เป็นการประชุมปกติที่พรรคจะมีการประชุมเดือนละ 1 ครั้ง ในช่วงเวลาที่มีการปิดสมัยประชุมสภาฯ เพื่อนำปัญหาของประชาชนมาพูดคุยกันในพรรคเพื่อรวบรวมปัญหาส่งให้รัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ แก้ปัญหาให้พี่น้องประชาชนต่อไป
คำถามว่าต้องกำชับ สส. ในพรรคอะไรเพิ่มเติมหรือไม่ เนื่องจากช่วงนี้มี สส.ของพรรคเพื่อไทยออกมาให้สัมภาษณ์ในลักษณะไล่พรรคภูมิใจไทยไปเป็นฝ่ายค้าน นายดนุพร กล่าวว่า เป็นเรื่องหนึ่งที่ต้องมีการพูดคุยแน่นอน ทราบว่าเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2568 นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะประธาน สส.พรรคเพื่อไทย ก็ออกมาปรามแล้ว ส่วนตัวในฐานะโฆษกพรรคก็ได้เช็กมาในหลายทางแล้ว ขอเรียนว่าเป็นความเห็นของ สส.แต่ละคน พรรคไม่ได้มีการสั่งให้ใครออกไปไล่ใครออกจากการเป็นฝ่ายค้าน ซึ่ง สส.แต่ละคนอาจไปรับความรู้ความรู้สึกของประชาชนหรือแฟนคลับพรรคมา จึงอาจทำให้มีอารมณ์ได้
นายดนุพร ระบุต่อไปว่า เรื่องนี้จะต้องมีการพูดคุยกันว่ามารยาทในการร่วมรัฐบาลเป็นเรื่องสำคัญมาก น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี รวมถึงผู้บริหารพรรคทุกคนคำนึงถึงเรื่องนี้มาก ฉะนั้น คงจะต้องมีการปราม สส.ของเราเองว่าการออกมาวิพากษ์วิจารณ์เรื่องที่พรรคใดจะร่วมรัฐบาลหรือไม่ร่วมรัฐบาลนั้น ควรต้องระมัดระวังมากขึ้น ไม่ควรให้มีภาพการแตกแยกในพรรคร่วมรัฐบาล
...
ส่วนกรณีหลังจากมี สส.ของพรรคออกมาพูดในลักษณะดังกล่าว มองว่าจะส่งผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาลหรือไม่ นายดนุพร ระบุ หากถามว่ากังวลหรือไม่ ก็กังวล แต่เมื่อไปสอบถามว่าที่ สส.แต่ละคนออกมาวิพากษ์วิจารณ์นั้น ไม่ใช่คำสั่งของคณะกรรมการบริหาร (กก.บห.) พรรคคนใด ซึ่งก็ได้รับการยืนยันว่าไม่ได้ให้ใครออกไปไล่คนอื่นเด็ดขาด
ในคำถามกังวลอะไรหรือไม่หาก นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ออกจากพรรคร่วมรัฐบาลไปเป็นฝ่ายค้านจริง นายดนุพร ตอบว่า กังวลแน่นอน หากพรรคภูมิใจไทยตัดสินใจไม่ร่วมรัฐบาล แน่นอนว่าการที่เสียงหายไป 70 กว่าเสียงมีผลมากในการประชุมสภาฯ เราก็ต้องมีการจัดทัพกันใหม่ ซึ่งอาจจะเหนื่อยหน่อย อีกทั้งยังมีรัฐมนตรีหลายคนที่เป็น สส.อยู่ด้วย ในการโหวตทุกสัปดาห์ สส. ที่เป็นรัฐมนตรีก็ต้องกลับเข้ามาในสภาฯ เพื่อที่จะทำหน้าที่ สส. ฉะนั้น หนึ่งเสียงของทุกคนมีค่ามาก แต่ในมุมของพรรคเองวันนี้เราเชื่อมั่นว่านายกรัฐมนตรีจะสามารถประสานรอยร้าวต่างๆ ในพรรคร่วมรัฐบาลได้ และเชื่อว่านายกรัฐมนตรีจะนำปัญหานี้ไปพูดคุยกับหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลทุกคน เชื่อว่าเรื่องนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้น
ผู้สื่อข่าวถามย้ำ เชื่อว่านายกรัฐมนตรีจะสามารถพูดคุยกับนายอนุทิน และหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรคได้อยู่ใช่หรือไม่ นายดนุพร กล่าวว่า วันนี้ขอยังเชื่อแบบนี้ก่อน เพราะนายอนุทินก็บอกเองว่านายกรัฐมนตรียังไม่ได้มีการมาพูดคุยในเรื่องการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) เป็นเพียงแค่การคาดเดาของหลายฝ่ายว่า หากจะปรับออกหรือหากเป็นเช่นนั้น หากเป็นเช่นนี้ รวมถึงนายกรัฐมนตรีก็บอกทุกครั้งว่าหากจะมีการปรับ ครม. จะต้องมีการเรียกหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรคมานั่งพูดคุยกัน
ขณะเดียวกัน นายดนุพร ยังกล่าวถึงสถานการณ์การเมืองในปัจจุบัน ว่า ตนเป็นห่วงเรื่องชายแดนไทย-กัมพูชามากกว่าเรื่องเสียงรัฐบาล การเมืองระหว่างประเทศที่มีข้อพิพาทกันเป็นเรื่องที่น่ากังวลกว่าการเมืองภายในประเทศ เพราะเป็นเรื่องที่กระทบต่อประเทศชาติ ชายแดน และเศรษฐกิจ รวมถึงอีกหลายมุม และตอนนี้ทางพรรคเพื่อไทยกำลังประสานกับกระทรวงการต่างประเทศว่ามีใครสามารถเป็นตัวแทนในการเข้ามาพูดคุยในการประชุมพรรคในวันที่ 17 มิถุนายน 2568 ได้ เพื่อให้ข้อเท็จจริงกับทาง สส. ไปสื่อสารกับประชาชนในพื้นที่ และหลายคนก็มีข้อกังวลเรื่องศาลโลก ซึ่งในวันนี้เฟกนิวส์เยอะ ทั้งในแอปพลิเคชันต่างๆ ที่รู้ความจริงครึ่งเดียวแล้วออกมาวิพากษ์วิจารณ์ในทางที่ผิดเยอะมาก ทำให้ผู้รับสารมานั้นรับมาไม่ครบ เขาจึงเกิดความวิตกกังวลและมีการวิพากษ์วิจารณ์ในทางที่ผิด
ทางด้านกรณีที่หลายฝ่ายมองว่าทางฝั่งไทยมีการสื่อสารล่าช้ากว่าทางกัมพูชา นายดนุพร กล่าวว่า รัฐบาลกัมพูชาสื่อสารโดยผู้นำและอดีตผู้นำ ซึ่งระบบการเมืองประเทศเขากับเราไม่เหมือนกัน การที่ผู้นำประเทศเขาสื่อสารนั้นสามารถทำได้ แต่ประเทศเราทำแบบนั้นไม่ได้เพราะจะกระทบกับหลายฝ่าย ทั้งต้องคำนึงถึงชายแดน เศรษฐกิจ หรือประเทศในกลุ่มอาเซียน และประเทศไทยคำนึงถึงมารยาททางการเมืองหรือทางการทูตสูง
“ต้องยอมรับว่าเราช้าจริง เป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องเรียนรู้และนำไปปรับปรุงว่าให้สื่อสารเร็วกว่านี้ แต่การสื่อสารที่เป็นข้อมูลผิดก็เป็นเรื่องที่อันตราย เชื่อว่าการที่กระทรวงการต่างประเทศเลือกที่จะสื่อสารช้านั้น อาจจะเป็นการเช็กข้อมูลให้รอบด้าน แต่อย่างไรก็ต้องมีการปรับปรุงต่อไป”