“อนุทิน” เมินกัมพูชาเหลื่อมเวลาปิดด่าน มองเขาเสียประโยชน์เอง ลั่น ไทยยึดแบบนี้ เผย เร่งทำหลุมหลบภัย ใช้งบประมาณสำนักงานปลัดมหาดไทย แจ้งนายกฯ แล้วไม่ต้องใช้งบกลาง

เมื่อเวลา 10.15 น. วันที่ 12 มิถุนายน 2568 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้สัมภาษณ์ที่ทำเนียบรัฐบาล ถึงการลงพื้นที่ จ.สุรินทร์ ร่วมกับ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อติดตามสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า นายกรัฐมนตรีได้ให้จัดเตรียมเรื่องการสนับสนุนแนวหลังอย่างเต็มที่ และให้นโยบายเหมือนสุภาษิต มหาดไทยเป็นบ้าน ทหารเป็นรั้ว โดยนายกรัฐมนตรีได้ให้นโยบายและวิสัยทัศน์มาแล้ว เราก็ต้องทำบ้านให้น่าอยู่ มีความอบอุ่น ให้มีความปลอดภัย ส่วนพี่น้องทหารที่เป็นรั้วก็จะปกป้องบ้านไม่ให้มีใครมารุกรานหรือทำร้าย

นายอนุทิน กล่าวต่อไปว่า 2 คำนี้ ในฐานะที่เป็นผู้ปฏิบัติงานถือว่ารับบัญชาจากนายกรัฐมนตรี และเรามาทำทุกอย่างให้เรียบร้อย การดูแลชาวบ้านในพื้นที่นั้น ทั้งเรื่องเศรษฐกิจ ชีวิตความเป็นอยู่ เรื่องการเตรียมพร้อมหากมีสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่น โรงพยาบาล โรงพยาบาลสนาม ศูนย์พักพิง ต้องพร้อม โรงเรียนต้องมีความตื่นตัวตลอดเวลา หากสถานการณ์ไม่ดีไม่ต้องรอผู้อำนวยการโรงเรียน สามารถส่งนักเรียนกลับบ้านได้ทันที และนายกรัฐมนตรีย้ำไม่ว่าจะเกิดอะไรก็ตาม ชีวิตของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้สูงอายุและเด็กนักเรียน ต้องไม่ได้รับอันตรายอย่างเด็ดขาด

...

เมื่อถามถึงกรณีนายกรัฐมนตรีถามกระทรวงมหาดไทยว่าทำไมไม่มาของบประมาณไปทำบังเกอร์ หลุมหลบภัย นายอนุทิน กล่าวว่า เรื่องนี้ได้กราบเรียนนายกรัฐมนตรีไปแล้ว กระทรวงมหาดไทยตอนนี้ได้สั่งการให้ทั้งผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ ปลัดอำเภอเร่งสำรวจหลุมหลบภัย ทั้งสภาพที่มีอยู่ และในส่วนที่ยังขาด ซึ่งมีหลายแห่งที่ขาดอยู่ ตอนนี้เรียนนายกรัฐมนตรีไปแล้วว่าสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทยจะมีงบเรื่องพวกนี้อยู่ ไม่ต้องของบกลาง และจะเร่งดำเนินการจัดทำหลุมหลบภัย ซึ่งต้องทำให้มีมาตรฐาน เข้าไปต้องมั่นคง ปลอดภัย แข็งแรง ทางเข้าทางออกต้องไม่มีอะไรมาบล็อก ต้องตั้งอยู่ริมถนนที่สามารถเคลื่อนย้ายไปที่ปลอดภัยกว่าได้ง่าย ต้องมีการวางแผนซ้อมเคลื่อนย้าย และยังเรียนนายกรัฐมนตรีว่าในหลุมหลบภัยเป็นพื้นทรายอยู่ หากเป็นพื้นคอนกรีตจะอมความร้อน คงจะใช้เป็นพวกแผ่นยางหรือหญ้าเทียมไปวางไว้เพื่อให้ช่วงที่มีเหตุ แต่หากช่วงไม่มีเหตุก็นำไปเก็บรักษาได้ นี่คือ สิ่งที่นายกรัฐมนตรีได้ลงไปเห็นในพื้นที่และได้มีข้อสั่งการมา

ผู้สื่อข่าวถามต่อ แปลว่าสถานการณ์ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรหรือยังวางใจได้หรือไม่ นายอนุทิน ระบุว่า ถ้าดูทางฝ่ายทหารยังมีการสื่อสารในเชิงการเจรจาพูดคุยหารือกันอยู่ ในส่วนของผู้ว่าราชการจังหวัดคอยสนับสนุนทหารทุกประเด็น เรื่องเปิด-ปิดด่านก็เช่นกัน เราก็เปิดของเราอย่างนี้ ถ้าเขาจะมาเหลื่อมเวลา ตนคิดว่าคนที่เสียประโยชน์คือฝั่งเขา เอาเป็นประเด็นการเมืองอะไรตรงนี้ไม่ก้าวล่วง ส่วนของเรายืนยันว่าจะเปิดแบบนี้ จะทำให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพราะตอนนี้เปิดวันละ 6-7 ชั่วโมงอยู่แล้ว ถ้าเปิดเหลื่อมกันจะเหลือ 6 ชั่วโมง ถามว่าใครเสียประโยชน์มากกว่าระหว่างเขาเข้ามาขายของ กับเราไม่ออกไปซื้อของเขาหรือไปทำธุรกิจที่เขา ก็แล้วแต่

ส่วนคำถามว่าจะทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่อย่างไร โดยเฉพาะเรื่องการสื่อสารเพื่อไม่ให้เกิดความคลาดเคลื่อน นายอนุทิน กล่าวว่า เรื่องการสื่อสารสำคัญมาก ทางพี่น้องประชาชนเราก็ใช้ในส่วนของฝ่ายปกครองไปสร้างความมั่นใจ สร้างความอบอุ่นกับประชาชน โดยรวมขวัญกำลังใจดี ผู้ที่วิตกกังวลมากหน่อยคือผู้สูงอายุ แต่วัยทำงานหรือชาวบ้านเขาทราบถึงสถานการณ์อยู่ รวมถึงเรามีการให้คำแนะนำและบอกว่าพื้นที่ไหนช่วงนี้ไม่ควรไป สภาพชีวิตก็ยังเป็นปกติอยู่ โดยวันที่ 13 มิถุนายน 2568 ตนจะลงพื้นที่ จ.อุบลราชธานี เพื่อประชุมหลังจากได้รับข้อสั่งการจากนายกรัฐมนตรีที่ จ.สุรินทร์ เรื่อง 7 จังหวัดที่มีชายแดนติดกับกัมพูชา เพื่อลงรายละเอียดเป็นจุดๆ กันไปว่าจะมีแผนสั่งการหรือแผนเผชิญเหตุ แผนการซ้อมอะไรต่างๆ ซึ่งเราต้องทำให้มีความพร้อม.