“เท้ง ณัฐพงษ์” จี้รัฐบาลถือบทบาทนำแก้ไขปัญหาสารพิษในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย แม่น้ำโขง อย่าโยนให้เป็นภาระหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง พร้อมเสนอแนะ 3 ข้อถึงนายกฯ
วันที่ 11 มิถุนายน 2568 นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบบัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร เผยภาพช่วงลงพื้นที่ติดตามปัญหาสารพิษในแม่น้ำที่ จ.เชียงราย พร้อมระบุข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ว่า ความท้าทายของประเทศไทยในปัจจุบัน คือการขาดผู้นำประเทศที่สร้างความเชื่อมั่นทั้งการแก้ไขปัญหาภายในและภายนอกประเทศ หนึ่งในปัญหาที่คนไทยกำลังประสบอยู่ คือปัญหาสารพิษในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง ที่ตนลงไปรับฟังปัญหาด้วยตัวเองหลายครั้งใน จ.เชียงราย ซึ่งมีพี่น้องประชาชนสังเกตเห็นความผิดปกติตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นมา จนถึงตอนนี้ก็เข้าเดือนที่ 4 แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น เหตุการณ์น้ำท่วมและดินโคลนถล่มครั้งใหญ่ในปี 2567 ที่ อ.เมือง และ อ.แม่สาย จ.เชียงราย มีความเป็นไปได้สูงว่า อาจมีสาเหตุมาจากการเปิดหน้าดินเป็นวงกว้างจากการทำเหมืองที่ต้นน้ำด้วย
วิกฤติของ จ.เชียงราย จ.เชียงใหม่ ที่ประสบปัญหาทั้งน้ำท่วม ดินโคลนถล่ม และพบสารปนเปื้อนในแม่น้ำ ถือเป็นวิกฤติที่นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ต้องกลับมาทบทวนนโยบายและแผนการรับมือที่มีความเกี่ยวข้องกับหลายฝ่ายกันใหม่ ดังเช่นปัญหาเหมืองที่เกิดขึ้นอยู่นั้น ถึงแม้อยู่ในเขตอำนาจอธิปไตยของรัฐบาลทหารพม่า แต่ก็อยู่ในเขตอิทธิพลของกองกำลังชาติพันธุ์ว้า ซึ่งอยู่ในพื้นที่ ส่วนบริษัทเอกชนที่ทำเหมืองแร่แห่งนี้ก็เชื่อได้ว่าเป็นกลุ่มทุนสัญชาติจีน เป็นต้น
...


ในส่วนของพรรคประชาชน ประธานคณะกรรมาธิการการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ และผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงราย เข้าพื้นที่ไปรับฟังปัญหา และติดตามสถานการณ์ในพื้นที่จริงอย่างต่อเนื่อง ส่วนตนเองถือโอกาสการเข้าพบ นายหาน จื้อเฉียง เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ในวันที่ 4 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา เพื่อแสดงความกังวลและหารือในกรณีดังกล่าว
จากความซับซ้อนของปัญหาที่มีความเกี่ยวข้องกับหลายฝ่าย การแก้ปัญหาที่ปลายเหตุโดยอาศัยการดำเนินงานจากฝ่ายไทยเพียงลำพัง เช่น การสร้างฝายดักตะกอนที่ฝั่งไทย ฯลฯ นั้น ไม่ใช่วิธีการแก้ไขปัญหาที่ตรงจุด จึงขอส่งข้อเสนอแนะและเสนอแนวทางในการดำเนินงานไปยังรัฐบาลและนายกรัฐมนตรี ดังต่อไปนี้


1. เจรจาพูดคุยกับกองกำลังชาติพันธุ์ว้า เพื่อบริหารจัดการการทำเหมืองอย่างมีความรับผิดชอบ ไม่ปล่อยสารพิษสู่สิ่งแวดล้อม ซึ่งการเจรจานั้นอาจไม่สามารถทำผ่านรัฐบาลหรือกระทรวงการต่างประเทศได้ เพราะคู่สนทนาไม่ใช่รัฐ แต่อาจทำผ่านกองทัพบกภายใต้การสั่งการของรัฐบาลไทย เพื่อใช้กลไกการพูดคุยกันทั้งอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการให้เกิดการแก้ไขปัญหาร่วมกันในพื้นที่ เชื่อว่าหน่วยงานความมั่นคงของไทยต้องมีความสัมพันธ์กับกลุ่มกองกำลังชาติพันธุ์ในประเทศเพื่อนบ้านที่อยู่ในพื้นที่ติดกันกับชายแดนไทยอยู่แล้ว
2. การประสานงานอย่างเข้มข้นกับประเทศจีน เพื่อสืบค้นที่มาที่ไป รายละเอียด การทำธุรกรรม การนำเข้าและส่งออกสินค้าต่างๆ ของบรรดาบริษัทเอกชนที่ได้รับสัมปทานทำเหมืองแร่ในพื้นที่ต้นน้ำ เพื่อนำไปสู่การลงโทษ หรือมีมาตรการเชิงเศรษฐกิจต่อกลุ่มทุนเหล่านี้ต่อไป ซึ่งข้อเสนอของตนในส่วนนี้สอดคล้องกับท่าทีของสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ที่แสดงออกถึงความพร้อมให้ความร่วมมือในการติดตามตรวจสอบเอกชนจีนที่มีความเกี่ยวข้องกับการปล่อยมลพิษครั้งนี้
“ท่าทีเหล่านี้ก็สอดคล้องกับกรณีที่รัฐบาลจีนเคยเป็นตัวตั้งตัวตีหลักในการปราบแก๊งคอลเซนเตอร์ฝั่งตรงข้าม อ.แม่สอด จ.ตาก ผมเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าหากรัฐบาลไทยเอาจริงเอาจัง แสดงท่าทีและลงมือปราบปรามทุนเทาทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็นสัญชาติใด อย่างไร รัฐบาลจีนก็จะไม่ทนกับปัญหาทุนจีนสีเทาที่สร้างผลกระทบในประเทศอื่นอย่างนั้น ดังนั้น ความร่วมมือกันระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลจีน จะช่วยแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้อย่างรวดเร็วมีประสิทธิภาพมากที่สุด”


3. รัฐบาลไทยสามารถใช้กลไกความร่วมมือพหุภาคีในภูมิภาคที่เกี่ยวข้องกับลุ่มน้ำในบริเวณนี้เพื่อแก้ไขปัญหาได้หลายเวที ได้แก่ กลไกคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง หรือกลไกกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ฯลฯ เป็นต้น โดยรัฐบาลควรใช้กลไกพหุภาคีเหล่านี้ ในการเดินหน้านำเสนอข้อมูล หลักฐาน ข้อกฎหมาย และความเห็นเพื่อส่งข้อเรียกร้องไปยังรัฐบาลและหน่วยงานองค์กรที่เกี่ยวข้อง ในการแก้ไขปัญหาร่วมกัน
นายณัฐพงษ์ ระบุในช่วงท้ายด้วยว่า “ปัญหาแม่น้ำเป็นพิษนี้ คืออีกหนึ่งตัวอย่างของปัญหาที่มีความซับซ้อนสูง รัฐบาลไม่สามารถโยนภาระให้เป็นความรับผิดชอบของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งในไทยเพื่อแก้ไขปัญหาได้ เพราะต้องอาศัยการเจรจาพูดคุยในเวทีระหว่างประเทศ มีแต่รัฐบาลเท่านั้นที่ต้องถือบทบาทนำในการแก้ไขปัญหาในส่วนนี้ และหากปล่อยไว้ก็จะเป็นวิกฤติด้านสิ่งแวดล้อม ที่จะส่งผลกระทบต่อชีวิตประชาชนที่อาศัยอยู่ในบริเวณแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขงทุกราย ซึ่งจะฝังรากลึกและกินระยะเวลายาวนานไปจนถึงรุ่นลูกหลานของพวกเขาในอนาคต”

