“นายกฯ” นำฝ่ายมั่นคง - มหาดไทย ประชุมผู้ว่าราชการ 5 จังหวัดชายแดนกัมพูชา แนะพ่อเมืองสุรินทร์ อย่าตั้งคำถามเหตุเปิด-ปิดด่านเหลื่อมเวลา ขอยึดประโยชน์ประชาชนค้าขาย ขณะ “แม่ทัพกุ้ง” คาดเป็นนัยการเมืองชิงความได้เปรียบ ขอหารือแก้ทีละเรื่อง

เมื่อเวลา 10.25 น. วันที่ 11 มิ.ย. 2568 นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และคณะ เดินทางถึงท่าอากาศยานบุรีรัมย์ ตำบลร่อนทอง อำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ โดยมีพลโท บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 มารอต้อนรับ

จากนั้น นายกรัฐมนตรี และคณะ ได้ขึ้นเฮลิคอปเตอร์กองบินตำรวจเพื่อเดินทางต่อมายังโรงพยาบาลกาบเชิง อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ เพื่อเป็นประธานการประชุมติดตามการคลี่คลายสถานการณ์ชายแดนไทย - กัมพูชา และมาตรการสนับสนุนให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ 5 จังหวัด โดยมีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม, นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย, พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และนายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เข้าร่วมประชุมด้วย

...

เบรกผู้เมืองสุรินทร์ให้ยึดปชช.เป็นหลัก

โดยนายกรัฐมนตรี ได้รับฟังรายงานสถานการณ์จากผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ ซึ่งช่วงหนึ่งมีการรายงานถึงการเปิดและปิดด่านชายแดนที่ไม่ตรงกัน โดยไทยเปิดและปิดด่าน เวลา 08.00 - 15.00 น. แต่ทางกัมพูชาเปิดด่านเวลา 09.00 น. - 16.00 น. ซึ่งเป็นเวลาที่เหลื่อมกันทำให้ผู้ว่าฯ มีการตั้งข้อสังเกตว่า ไม่แน่ใจว่ามีนัยยะอะไรหรือไม่ ทำให้นายกรัฐมนตรี ถึงกับเปิดไมค์และถามกลับในทันทีว่า แทนที่จะกล่าวว่าสงสัยว่าเป็นเพราะอะไรที่เปิดปิดด่านไม่ตรงกัน จะสามารถประสานฝ่ายตรงข้ามได้หรือไม่ ให้เปิด-ปิดด่านตรงกัน โดยขอให้ฝ่ายความมั่นคงไปดู เพื่อยึดถือผลประโยชน์ของประชาชน หากเปิดปิดเวลาตรงกันได้ เพราะจะทำให้การค้าขายสะดวกกว่า

เชื่อมีนัยการเมืองแฝง

ขณะที่พลโทบุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ระบุว่า จะประสานกับกองกำลังฝ่ายกัมพูชาดู ซึ่งน่าจะมีนัยบางอย่างในลักษณะการเมืองนิดหน่อย เพื่อชิงความได้เปรียบ แต่ฝ่ายความมั่นคงกับผู้ว่าฯ ในพื้นที่จะหารือกัน

เห็นใจคนหน้างานรับแรงกดดัน

โดยนายกรัฐมนตรี สั่งการในที่ประชุมว่า ต้องให้ความรู้กับนักเรียน ว่าเมื่อไรจึงควรใช้หลุมหลบภัย อยากให้บรรจุอยู่ในเป็นการสอน ปกติทุกปี ไม่ใช่เหตุการณ์นี้จบไป พอสงบก็ไม่ทราบว่าจะใช้อย่างไร เมื่อไร เพื่อให้เหมือนในประเทศญี่ปุ่น และที่สำคัญขอขอบคุณแม่ทัพภาคที่ 2 ที่อยู่หน้างานตลอดและทราบถึงแรงกดดันมากๆ เพราะตนได้ติดต่อกับทั้งกลาโหม และมหาดไทยมาโดยตลอด รวมถึงผู้นำฝ่ายกัมพูชา ตนทราบและเห็นใจมากๆ อยู่หน้างาน ไม่เหมือนเราคุยกันข้างหลัง เพราะบางทีเกิดกระแสอะไรในโซเชียลมากมาย แต่คนหน้างานจริงๆ แล้วคือคนที่เห็นเหตุการณ์ และต้องปรับไปตามสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นจึงพยายามจะเน้นย้ำในเรื่องของสันติภาพและความสงบสุขไว้ แต่ได้ทราบข้อมูลจากฐานหน้างาน ไม่อยากให้เกิดกระแสตี ให้เกิดความรุนแรงขึ้น หรือลุยเลย เพราะจริงๆ ต้องคิดถึงชีวิตของคนหน้างานเพราะมีความกดดันสูง อยู่ตรงนั้น เราก็เห็นอาวุธของกันและกัน และดูอาวุธ ดูความพร้อม ดูทุกอย่าง หากต้องเกิดความไม่สงบจริงๆ หรือเหตุการณ์ที่มากขึ้นจริงๆ แน่นอนว่า ไม่ใช่เรื่องเล็กอย่างแน่นอน เป็นเรื่องที่ใหญ่มากๆ ตนจึงพยายามสื่อสารในเรื่องนี้ถึงความสงบสุขเพราะอย่างน้อย ถ้านายกฯคุยกัน ได้ยืนยันเรื่องนี้ และล่าสุดที่ได้มีการอัพเดทพูดตรงกันว่า อยากให้ทั้งสองประเทศเกิดความสงบสุข และตนยืนยันในการรักษาอธิปไตยประเทศของเราไว้

นายกรัฐมนตรี ยังระบุอีกว่า และที่ผ่านมา หน่วยงานที่สำคัญไม่น้อยกว่ากระทรวงกลาโหม ก็คือมหาดไทย เพราะมหาดไทยเป็นบ้านทหารเป็นรั้ว ทุกฝ่ายทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการ โดยที่มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นหัวหน้าทีม ในการดูแลบ้านแต่ละจังหวัด ที่จะต้องทำงานร่วมกันด้วยการประสานงาน ว่าเกิดเหตุการณ์อะไรบ้างในพื้นที่ชายแดน และในบ้านของเรา มีที่ปลอดภัยพอหรือไม่ หรือมีปัจจัย 4 พอหรือไม่สำหรับคนในบ้าน ซึ่งขอให้ตรวจเรื่องนี้อย่างเต็มที่ และขอให้ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เพราะเวลาเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ต้องทำงานแบบบูรณาการเท่านั้นจึงจะเห็นผลที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น

กำชับข้อความสื่อสารแต่ละระดับ

นายกรัฐมนตรียังกล่าวด้วยว่า เรื่องความสงบ ตนได้ติดต่อ กับรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ว่าข้อความที่จะพูดกับประชาชนนั้นจะเป็นอย่างไร หรือข้อความอย่างไรที่ภายในคุยกันไว้ ไม่สามารถที่จะสื่อสารได้ การคุยระหว่างประเทศเราจะต้องเคารพกติกา หรือข้อตกลงระหว่างประเทศ เช่น ระดับแม่ทัพหรือทหารคุยกันคุยว่าอย่างไร ระดับรัฐมนตรีคุยกันว่าอย่างไร นายกรัฐมนตรีคุยกันว่าอย่างไร เราจะต้องมีการคุยกันตลอด เพื่อที่จะสื่อสารตรงกัน และไม่เข้าใจผิดซึ่งกันและกัน ถือเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ เพราะพูดกันไปมากๆ สร้างกระแสทำให้เข้าใจผิดกัน และเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ

“ก็พยายามที่จะทำเรื่องนี้ให้ดีที่สุด ขอบคุณหน้างานมากๆ และประสานงานกันจนเกิดผลสำเร็จ ขอบคุณทั้งกลาโหมและมหาดไทย ที่ร่วมมือกันเพื่อรักษาอธิปไตยของเราไว้ และความสงบสุขของบ้านเมืองไว้ ตนต้องขอชื่นชมทุกคน”

ลั่นพร้อมสนับสนุนเต็มที่

นายกรัฐมนตรี ยังยืนยันว่า รัฐบาลให้การสนับสนุนประชาชนอย่างเต็มที่ และเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงาน อะไรที่เกิดความเร่งด่วน หรือจำเป็น ขอให้แต่ละกระทรวงรายงานตรงไปยังกระทรวง เพราะทั้งสองรองนายกฯ ติดต่อตรงกับตนอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นอะไรที่พร้อมให้ก็จะสนับสนุนเต็มที่

แก้ข่าวปลอมทำความเข้าใจชาวบ้าน

นายกรัฐมนตรี ยังเน้นย้ำกับ 5 ผู้ว่าราชการจังหวัด ให้ทำความเข้าใจกับประชาชนให้มาก ว่าทำอะไรกันอยู่บ้าง เพื่อที่จะให้ทุกคนทำเข้าใจตรงกัน ไม่เข้าใจผิด ไม่ปล่อยข่าวปลอม ซึ่งบางทีโดนไอโอปล่อยบ้าง ไม่รู้มาจากไหน แต่ปล่อยข้อมูลที่เข้าใจผิด ทำให้เกิดความวุ่นวายในสังคม เพราะฉะนั้นทุกท่านที่มีตำแหน่งตรงนี้ มีความน่าเชื่อถือ สามารถติดต่อกับประชาชน ว่าอะไรคือเรื่องจริง หรือเรื่องไม่จริง อะไรที่ไม่จริง ก็ขอให้รีบแก้ ไม่อยากให้ขยายความกันไปมากกว่านี้

ขอเคลียร์ทีละเรื่อง ไม่เอามาปนกัน

นายกรัฐมนตรียังกล่าวในช่วงท้ายว่า ขอให้ทุกคนทำงานร่วมกันอย่างเต็มที่ ทำงานเป็นทีมเดียวกัน ประเทศไทยทั้งประเทศเป็นของพวกเราทุกคน เราต้องรักษาไว้ ปฏิบัติหน้าที่ของเราให้เต็มที่ รัฐบาลพร้อมสนับสนุนทุกหน่วย ต่อจากนี้ ที่เราคุยกันทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นในระดับ ผู้นำหรือกองทัพ ยืนยันเป้าหมายเดียวกัน คือต้องการรักษาสันติภาพไว้ ส่วนเรื่องรายละเอียดต่างๆ ก็ว่าเป็นไปตามหัวข้อ หรือเรื่องที่จะตกลงกัน ว่าเป็นเรื่องเฉพาะเรื่อง ไม่ใช่เอาทุกเรื่องมารวมกัน ไม่เช่นนั้นการตัดสินใจหรือการเคลียร์จะไม่เคลียร์ จะกลายเป็นปนกันไป เพราะกฎหมายมันเยอะไปหมดเราจะเคลียร์ไปทีละเรื่องไป

อย่างไรก็ตามมีบุคลการกรทางการแพทย์ของโรงพยาบาลกาบเชิงและประชาชนในพื้นที่เข้ามามอบดอกไม้ให้กำลังใจแม่ทัพภาคที่2 พร้อมขอถ่ายเซลฟี่เป็นที่ระลึกด้วย

จ.สุรินทร์จุดเสี่ยงปะทะ 4จุด

ทั้งนี้พื้นที่จังหวัดสุรินทร์ เป็นอำเภอชายแดนครอบคลุม 4 อำเภอได้แก่ บัวเชด สังขละ กาบเชิง และพนมดงรัก ยาวประมาณ 125 กิโลเมตร มีจุดผ่านแดน 1 แห่งที่ด่านช่องจอง ช่องทางธรรมชาติ 54 แห่งโดยจุดเสี่ยงหากเกิดการปะทะ มี 4 จุดคือ ประสาทตาควาย ปราสาทตาเมือนธม และตามเงินโต๊จ อยู่ในเขตอำเภอพนมดงรัก เนื่องจากก่อนหน้านี้มีการปะทะเมื่อปี 2554 เป็นจุดเป้าหมายของประเทศเพื่อนบ้านให้ความสนใจบริเวณดังกล่าว หากมีการสู้รบ จะมีหมู่บ้านที่ได้รับผลกระทบจากวิถีกระสุน 287 หมู่บ้าน 22 ตำบล มีประชาชนที่ได้รับผลกระทบ 144,300 คน และได้มีการสร้างหลุมหลบภัยเป็นส่วนรวม 224 หลุม แต่ยังคงไม่เพียงพอเนื่องจากมีการสร้างมาตั้งแต่ปี 2554 ซึ่งพบว่าบางแห่งชำรุด แต่ก็ได้มีการซ่อมแซมไว้แล้ว โดยมีการจัดทำแผนป้องกันภัยทางอากาศมีจุดรองรับผู้อพยพจาก 287 หมู่บ้านไว้ 65 แห่ง ทั้งในโรงเรียนวัดในเขตพื้นที่ 4 อำเภอมีศูนย์ผู้ลี้ภัยจำนวน 1 แห่ง โดยจะใช้รถของประชาชนที่มีอยู่ในชุมชน ในการอพยพเป็นหลัก ส่วนผู้ป่วยติดเตียงจะย้ายไปยังศูนย์พักพิงปลอดภัย ด้วยในพื้นที่พบว่ามีผู้ป่วยติดเตียงประมาณ 700 ราย โดยได้เตรียมโรงพยาบาลพนมดงรักไว้ 30 เตียงโรงพยาบาลกาบเชิง 60 เตียง

ร่วมทานอาหารกับแม่ทัพภาค2

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่ามีประชาชน ข้าราชการ เยาวชน รวมถึงสส. จังหวัดสุรินทร์ทั้งพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทยมาร่วมประชุมและต้อนรับคณะของนายกรัฐมนตรีครบทั้ง 8 เขต  โดยภายหลังจากการประชุมเสร็จสิ้นนายกรัฐมนตรี ได้ร่วมรับประทานอาหารกับกองกำลังชายแดนและฝ่ายปกครองที่บริเวณบ้านด่าน ฐานปฏิบัติการกองกำลังสุรนารี