ลำดับเหตุ “ชายแดนไทย-กัมพูชา” ช่องบก ไทยถูกรุกล้ำ 651 ครั้ง ร้องเพลงชาติ ปราสาทตาเมือนธม จุดเริ่ม เผาศาลาตรีมุข ขุดคูเลต สู่การปะทะ ก่อนปรับกำลังอยู่จุดเดิมปี 2567 เตรียมขึ้นโต๊ะเจรจา 14 มิ.ย. นี้

วันที่ 10 มิ.ย. 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังรัฐบาลไทยกับรัฐบาลกัมพูชาบรรลุข้อตกลงปรับกำลังทหาร บริเวณช่องบก ตั้งแต่ต้นพญาสัตบรรณถึงสามแยกลาวกลับไปอยู่ในจุดเดิมปี 2557 เพื่อลดการเผชิญหน้า สร้างบรรยากาศเอื้อต่อการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ไทย-กัมพูชา

ลำดับเหตุการณ์ปัญหาช่องบก ตามข้อเท็จจริงกรณีสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ในห้วงที่ผ่านมา การละเมิดบันทึกความเข้าใจระหว่างไทย-กัมพูชา ว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก พ.ศ. 2543 หรือ MOU 43 โดยฝ่ายกัมพูชามาอย่างต่อเนื่อง

วันที่ 13 ก.พ. 2568 ประชาชนกัมพูชาและทหารกัมพูชาขึ้นไปบนปราสาทตาเมือนธม อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ตั้งอยู่ในพื้นที่อธิปไตยของไทย และร้องเพลงชาติกัมพูชา ฝ่ายไทยยื่นหนังสือประท้วงอย่างเป็นทางการ

วันที่ 27 ก.พ. 2568 พล.อ.เมา โซะพัน ผู้บัญชาการทหารบกกัมพูชา ลงพื้นที่สามเหลี่ยมมรกต พร้อมส่งทหาร 80 นาย พร้อมอาวุธประจำกายในพื้นที่ช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี มีการตำหนิกำลังพลทหารกัมพูชาว่าเหตุปล่อยให้ทหารไทยมาทำกิจกรรมทางศาสนาที่ศาลาตรีมุข

วันที่ 1 มี.ค. 2568 เกิดเหตุเพลิงไหม้ศาลาตรีมุข สัญลักษณ์มิตรภาพ ไทย-ลาว-กัมพูชา หน่วยในพื้นที่ได้รับข่าวสารว่ามีทหารกัมพูชาพร้อมอาวุธ เข้ามาวางกำลัง พร้อมดัดแปลงพื้นที่ รุกล้ำเข้ามาในเขตประเทศไทย บริเวณช่องบก ประมาณ 150 เมตร ห้วงเช้าวันที่ 28 พ.ค. 2568 ฝ่ายไทยจึงจัดกำลังลาดตระเวนพิสูจน์ทราบ แต่ฝ่ายกัมพูชาได้ใช้อาวุธปืนยิงฝ่ายไทย จึงเกิดการปะทะกันขึ้น

...

ในช่วงสายวันเดียวกัน พล.อ. พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก ได้ประชุมทางไกลผ่านจอภาพร่วมกับ พล.อ.เมา โซะพัน ผบ.ทบ.กัมพูชา โดยทั้งสองฝ่ายเห็นชอบให้ปรับกำลังออกจากแนวปะทะเพื่อลดการเผชิญหน้า และนัดหมายพบหารือกันที่ช่องจอม จังหวัดสุรินทร์ วันที่ 29 พ.ค. 68

วันที่ 29 พ.ค. 2568 มีการประชุมหารือระหว่าง ผบ.ทบ.ไทย - ผบ.ทบ.กัมพูชา ผบ.ทบ. ได้กล่าวแสดงความเสียใจต่อการสูญเสียของกำลังพลฝ่ายกัมพูชา จากเหตุการณ์ปะทะ โดยทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันใน 3 ประเด็น คือ

1. มีความเห็นร่วมกันในการใช้กลไกคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ในการแก้ไขความขัดแย้งในครั้งนี้

2. บรรลุข้อตกลงในการถอนกำลังออกจากจุดที่ปะทะ

3. ผู้บังคับบัญชาทั้งสองฝ่ายจะกำกับดูแลกำลังพลให้อยู่ภายใต้กรอบการเจรจาอย่างเคร่งครัด อย่างไรก็ตาม

ต่อมาฝ่ายกัมพูชาได้ออกแถลงการณ์ว่าจะไม่ปรับกำลังทหารออกจากแนวปะทะ ซึ่งไม่สอดคล้องกับข้อตกลงร่วมกันระหว่าง ผบ.ทบ. ทั้งสองประเทศ แม้กัมพูชาจะอ้างว่ายึดมั่นในสันติภาพ แต่กลับมีการวางกำลังรุกล้ำดินแดน และดัดแปลงภูมิประเทศในพื้นที่ชายแดน

ซึ่งในอดีตที่ผ่านมา ฝ่ายกัมพูชาได้มีการละเมิด MOU 43 จำนวน 651 ครั้ง เช่น การปรับปรุงเส้นทาง การเทคอนกรีต ในพื้นที่ช่องอานม้า ตรวจพบเมื่อ 19 มี.ค. 2568 การปรับปรุงป้อมปืน การขุดหลุมบุคคล ในพื้นที่ช่องอานม้า ตรวจพบเมื่อ 14 เม.ย. 2568

การปรับปรุงเส้นทางและคูติดต่อบริเวณพื้นที่ช่องบก และบริเวณเนิน 745 ตรวจพบเมื่อ 13 พ.ค. 2568 เป็นต้น

ซึ่งฝ่ายไทยได้ทำการประท้วงมาเป็นลำดับ แต่ฝ่ายกัมพูชายังไม่มีการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรมหลังจากวันที่ 29 พ.ค. 2568 กัมพูชาได้ออกแถลงการณ์ว่าจะไม่ปรับกำลังกกลับไปอยู่จุดเดิมปี 2567

30 พ.ค. 2568 กองทัพบกออกแถลงการณ์ผลการเจรจาระหว่าง ผบ.ทบ.ไทย- ผบ.ทบ.กัมพูชา เช่นเดียวกันในประเด็นเกี่ยวกับสถานการณ์ในพื้นที่ชายแดน จำนวน 4 ข้อ ได้แก่
1. ผบ.ทบ. ได้กล่าวแสดงความเสียใจต่อการสูญเสียกำลังพลจากเหตุการณ์ปะทะ
2. กรณีข้อขัดแย้งบริเวณช่องบก ทบ.ไทยและ กพช. มีความเห็นร่วมกันในการใช้กลไกคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC)
3. ผู้บังคับบัญชาทั้งสองฝ่ายได้ระบุว่าจะกำกับดูแลกำลังพลให้อยู่ภายใต้กรอบการเจรจาอย่างเคร่งครัด
4. การพบปะเจรจาระหว่าง ผบ.ทบ.ไทย และ กัมพูชา ในครั้งนี้ บรรยากาศการพูดคุยเป็นไปด้วยดี สามารถบรรลุข้อตกลงปรับกำลังทหารจากพื้นที่ขัดแย้ง และรอผลการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม JBC

4 มิ.ย. 2568 ไทยโต้แย้งแถลงการณ์ของรัฐบาลกัมพูชายืนยันพื้นที่ 4 แห่ง ได้แก่ พื้นที่ช่องบก (อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี), ปราสาทตาเมือนธม (อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์), ปราสาทตาเมือนโต๊ด (อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์) และปราสาทตาควาย (อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์) อยู่ในเขตอธิปไตยของไทย

ดังนั้น การที่กัมพูชาจะยื่นเรื่องให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศพิจารณาพื้นที่ทั้ง 4 แห่งดังกล่าว จึงนับว่าเป็นความพยายามบิดเบือนข้อเท็จจริง

7 มิ.ย. 2568 ผบ.ทบ. ได้ลงนามในคำสั่งกำหนดอำนาจให้ ผบ.กกล.บูรพา และ ผบ.กกล.สุรนารี มีอำนาจในการควบคุมการเปิด–ปิด จุดผ่านแดนทุกประเภทตลอดแนวชายแดนไทย–กัมพูชา โดยเป็นผลสืบเนื่องจากมติที่ประชุมสภาพความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เมื่อ 6 มิ.ย. 2568

โดยในรายละเอียด ทบ. ได้กำหนดมาตรการควบคุมการเปิด-ปิด จุดผ่านแดนทุกประเภทตลอดแนวชายแดนไทย-กพช. เริ่มมาตรการดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 7 มิ.ย. 2568 เวลา 19.00 น.

สำหรับพื้นที่รับผิดชอบกองกำลังบูรพา ประกอบด้วย
1. จุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก (อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว) กำหนดเวลาเปิด–ปิดใหม่ เป็น 08.00 – 16.00 น. โดยอนุญาตเฉพาะการค้าขาย หรือการเดินทางเพื่อทำงาน ห้ามชาวไทยเดินทางออกนอกประเทศเพื่อเล่นการพนันหรือท่องเที่ยว และเอกสาร Border Pass /Passport ใช้ได้ไม่เกิน 7 วัน รวมทั้งห้ามรถบรรทุกตั้งแต่ 6 ล้อขึ้นไปผ่าน
2. จุดผ่านแดนถาวรสะพานมิตรภาพไทย–กพช. (หนองเอี่ยน–สตึงบท) กำหนดเวลาเปิด–ปิดใหม่ เป็น 08.00 – 16.00 น. โดยกำหนดให้ใช้เป็นจุดผ่านแดนหลักสำหรับรถบรรทุกตั้งแต่ 6 ล้อขึ้นไป
3. จุดผ่านแดนถาวรบ้านเขาดิน (อ.คลองหาด จ.สระแก้ว) กำหนดเวลาเปิด–ปิดใหม่ เป็น 08.00 – 16.00 น. โดยอนุญาตเฉพาะการค้าขายหรือการทำงาน ห้ามนักพนันและนักท่องเที่ยวเดินทางผ่าน และเอกสาร Border Pass / Passport ใช้ได้ไม่เกิน 7 วัน รวมทั้งห้ามรถบรรทุกตั้งแต่ 6 ล้อขึ้นไปผ่าน
4. จุดผ่อนปรนการค้าบ้านตาพระยา (อ.ตาพระยา จ.สระแก้ว) กำหนดเวลาเปิด–ปิดใหม่ เป็น 08.00 – 12.00 น. โดยทหารจะใช้ดุลยพินิจในการคัดกรองบุคคลเข้า–ออกเป็นรายกรณี และห้ามรถบรรทุก 6 ล้อขึ้นไปผ่าน

5. จุดผ่อนปรนการค้าบ้านหนองปรือ (อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว) กำหนดเวลาเปิด–ปิดใหม่ เป็น 08.00 – 12.00 น. โดยทหารจะใช้ดุลยพินิจในการคัดกรองบุคคลเข้า–ออกเป็นรายกรณี และห้ามรถบรรทุก 6 ล้อขึ้นไปผ่าน

ส่วนพื้นที่รับผิดชอบกองกำลังสุรนารี 1.จุดผ่อนปรนการค้าช่องอานม้า (ต.โซง อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี) กำหนดเวลาเปิด–ปิดใหม่ เป็นเฉพาะวันพฤหัสบดี 09.00 – 12.00 น. โดยให้บุคคลผ่านเข้า–ออกไม่เกินเขตตลาดของทั้งสองประเทศ ผ่านการแลกบัตร ซึ่งอนุญาตเฉพาะการนำสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น และไม่อนุญาตให้ยานพาหนะผ่าน ส่วนการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมต้องเป็นไปตามระเบียบและหลักสากล ทั้งนี้พร้อมปิดจุดผ่านแดนเมื่อฝ่ายกัมพูชาเพิ่มกำลังจนกระทบต่อความปลอดภัย
2. จุดผ่อนปรนการค้าช่องสายตะกู (ต.จันทบเพชร อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์) กำหนดเวลาเปิด–ปิดใหม่ เป็นวันอังคาร, พุธ และพฤหัสบดี 09.00 – 12.00 น. โดยให้บุคคลผ่านเข้า–ออกไม่เกินเขตตลาดของทั้งสองประเทศ ผ่านการแลกบัตร ซึ่งอนุญาตเฉพาะการนำสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น และไม่อนุญาตให้ยานพาหนะผ่าน ส่วนการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมต้องเป็นไปตามระเบียบและหลักสากล ทั้งนี้พร้อมปิดจุดผ่านแดนเมื่อฝ่ายกพช. เพิ่มกำลังหรือมีเหตุปะทะบริเวณชายแดนจนกระทบต่อความปลอดภัย

3. จุดผ่านแดนถาวรช่องสะงำ (ต.ไพรพัฒนา อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ) กำหนดเวลาเปิด–ปิดใหม่ เป็นวันจันทร์, พุธ และศุกร์ 08.00 – 15.00 น. โดยใช้ Passport / Border Pass ซึ่งยานพาหนะสามารถผ่านได้ตามระเบียบ จำกัดการส่งออกสินค้ายุทธภัณฑ์ตามกฎหมาย และงดส่งออกวัสดุก่อสร้าง เช่น ปูนซีเมนต์ ส่วนการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมต้องเป็นไปตามระเบียบและหลักสากล ทั้งนี้ พร้อมปิดจุดผ่านแดนเมื่อมีเหตุปะทะบริเวณชายแดน

4. จุดผ่านแดนถาวรช่องจอม (ต.ด่าน อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์) กำหนดเวลาเปิด–ปิดใหม่ เป็นวันจันทร์, พุธ และศุกร์ 08.00 – 15.00 น. โดยใช้ Passport / Border Pass ซึ่งยานพาหนะสามารถผ่านได้ตามระเบียบ จำกัดการส่งออกสินค้ายุทธภัณฑ์ตามกฎหมาย และงดส่งออกวัสดุก่อสร้าง เช่น ปูนซีเมนต์ ส่วนการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมต้องเป็นไปตามระเบียบและหลักสากล ทั้งนี้ จะดำเนินการงดจำหน่ายกระแสไฟฟ้าเมื่อฝ่ายกพช. เพิ่มกำลังทหารในลักษณะที่ส่งผลต่อความปลอดภัย และพร้อมปิดจุดผ่านแดนเมื่อมีเหตุปะทะบริเวณชายแดน

นอกจากนี้ พื้นที่รับผิดชอบของกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีตราด กองทัพเรือ มีการกำหนดให้จุดผ่านแดนถาวร และจุดผ่อนปรนการค้าทุกแห่ง เปิด–ปิด เวลา 08.00 – 16.00 น.

สำหรับการใช้มาตรการตามแนวชายแดนดังกล่าวนั้น ปัจจุบันยังอยู่ในขั้นที่ 1 และขั้น 2 จาก 4 ขั้น โดยยังไม่ได้มีการปิดจุดผ่านแดนใดๆ เว้นช่องทางธรรมชาติที่ได้ปิดไปแล้ว ทั้งนี้ แนวทางปฏิบัติแบบเป็นขั้นตอน โดยพิจารณาจากระดับความรุนแรงของสถานการณ์ในแต่ละพื้นที่ เน้นจากเบาไปหาหนักตามความเหมาะสม โดยแบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอนหลัก ดังนี้

ขั้นที่ 1 จำกัดการผ่านแดนโดยอนุญาตเฉพาะบุคคลที่มีเหตุจำเป็น เช่น การค้าขาย การขนส่งสินค้า แรงงาน และงานจำเป็นอื่น ๆ โดยจำกัดและเพิ่มระดับความเข้มงวดในการตรวจสอบบุคคลที่มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น นักพนัน หรือกลุ่มที่อาจเกี่ยวข้องกับกิจกรรมผิดกฎหมาย

ขั้นที่ 2 ปรับลดช่วงเวลาในการเปิด–ปิดจุดผ่านแดน พร้อมทั้งกำหนดวัน–เวลาการเข้า–ออกอย่างชัดเจน เพื่อควบคุมความเคลื่อนไหวของบุคคลและกิจกรรมในพื้นที่ชายแดน
ขั้นที่ 3 ปิดจุดผ่านแดนบางจุด (Selective Closure) โดยพิจารณาจากจุดที่มีความเสี่ยงสูง หรือมีข้อมูลด้านความมั่นคงที่อาจนำไปสู่การรุกล้ำ หรือการก่อเหตุจากฝ่ายตรงข้าม
ขั้นที่ 4 ปิดจุดผ่านแดนตลอดแนวชายแดนในกรณีที่เกิดสถานการณ์วิกฤต หรือมีการรุกรานอย่างชัดเจน เพื่อควบคุมสถานการณ์ในระดับสูงสุด

อย่างไรก็ตาม หลังจากมาตรการการปรับเปลี่ยนเวลาเปิด-ปิดด่านชายแดนที่ผ่านมา เมื่อวันที่ 8 มิ.ย. 68 ฝ่ายกัมพูชา โดย พล.ท. สรัย ดึก รอง ผบ.ทบ. และผู้บัญชาการกองพลสนับสนุนที่ 3 ได้เชิญฝ่ายทหารไทย นำโดย พล.ต. สมภพ ภาระเวช ผบ.กกล.สุรนารี ทั้งสองฝ่ายได้บรรลุข้อตกลงในประเด็นสำคัญ คือ ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบการปรับการวางกำลังให้กลับไปสู่แนววางกำลังเดิมเมื่อปี พ.ศ. 2567 พร้อมทั้งกลบคูติดต่อ (คูเลต) กลับไปสู่สภาพเดิม สร้างบรรยากาศที่เกื้อกูลต่อการประชุม JBC ใน 14 มิ.ย. 2568

นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องร่วมกันที่จะใช้กลไกคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่นเป็นช่องทางหารือการแก้ไขปัญหาระดับพื้นที่อย่างต่อเนื่องในอนาคต