โฆษกกระทรวงการต่างประเทศยืนยันการปรับเวลาเปิด-ปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา ไม่มีวัตถุประสงค์เรื่องการค้า แต่ต้องทำเพื่อความมั่นคงและความปลอดภัยของประชาชนทั้งสองประเทศ ย้ำไทยยังส่งสินค้าไปขายในกัมพูชาได้ตามปกติ
วันที่ 8 มิ.ย. 2568 นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ว่าล่าสุดวันนี้ยังอยู่ในความสงบเรียบร้อย และยืนยันว่ามาตรการที่ได้ประกาศไปนั้นไม่ใช่การปิดด่านทั้งหมดหรือในทันที แต่เป็นแนวปฏิบัติที่เป็นขั้นตอนเหมาะสมกับสถานการณ์แต่ละพื้นที่ ซึ่งได้แบ่งเป็น 4 ขั้น ได้แก่ การจำกัดการผ่านด่าน อนุญาตเฉพาะบุคคลที่มีเหตุจำเป็น เช่น การค้าขาย การขนส่งแรงงาน และแรงงานจำเป็น พร้อมทั้งเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบของบุคคลที่มีพฤติกรรมเสี่ยงที่อาจเกี่ยวข้องกับกิจกรรมผิดกฎหมาย 2. ปรับช่วงเวลาการเปิด-ปิดผ่านด่าน กำหนดวันเวลาเข้าออกให้ชัดเจน 3. ปิดจุดผ่านด่านบางจุด และครั้งสุดท้ายคือการปิดจุดผ่านด่านตลอดแนวชายแดนในกรณีที่เกิดสถานการณ์วิกฤติ สำหรับจุดผ่านด่านตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ขอให้ประชาชนในพื้นที่ติดตามข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการปรับเวลาเปิด-ปิด และเอกสารที่ต้องใช้รวมถึงข้อจำกัดต่าง ๆ ในช่วงเวลานี้ซึ่งแต่ละจุดมีการกำหนดมาตรการที่ต่างกัน
ปรับเวลาเพื่อความปลอดภัย
พร้อมย้ำว่ามาตรการเกี่ยวกับจุดผ่านแดนมีเป้าหมายเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่และความปลอดภัยของประชาชนทั้งสองชายแดน และจำเป็นจะต้องคำนึงถึงเศรษฐกิจการค้าชายแดน ชีวิตความเป็นอยู่ และมนุษยธรรมควบคู่กันไป จึงได้พยายามอย่างที่สุดไม่ให้มาตรการเหล่านี้กระทบถึงคนไทยและชาวกัมพูชาที่ไม่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์
โต้ปรับเวลา ไม่เกี่ยวส่งสินค้าไปขาย
...
ส่วนที่สมเด็จฮุนเซนโพสต์ Facebook โต้ไทยหลังปิดด่านปอยเปตว่าอาจทำให้ประเทศไทยได้รับผลกระทบการส่งสินค้าเข้าไปขายในกัมพูชามากกว่านั้น โฆษกกระทรวงการต่างประเทศยืนยันว่าการเปิด-ปิดด่านไม่ได้มีวัตถุประสงค์เกี่ยวกับการค้า แต่เป็นเพื่อความมั่นคงและความปลอดภัยของประชาชนทั้งสองประเทศ ขณะเดียวกันผลกระทบทางการค้าอาจจะมีแต่รัฐบาลได้คำนึงไว้แล้วจึงได้มอบอำนาจให้แต่ละจุดภายใต้ทหารควบคุมอยู่เป็นผู้ดูความเหมาะสมของการเปิด-ปิดด่าน ส่วนใครจะได้รับผลกระทบทางการค้ามากกว่ากันนั้น ประเทศไทยยืนยันว่าไม่มีปัญหาเกี่ยวกับการส่งสินค้าไปกัมพูชาแต่อย่างใด
ชี้เวที JBC ทางออกอย่างสันติ
ส่วนท่าทีของสมเด็จฮุนเซนที่มีการวิเคราะห์ว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการเมืองภายในเสียมากกว่ารัฐบาลไทยได้ทำความเข้าใจกับสังคมในประเด็นชายแดนด้วยการแถลงข่าวถึงความคืบหน้าในสถานการณ์แต่ละวัน และอยากให้คนไทยเข้าใจจุดยืนของเรา ทั้งรัฐบาลและทหารตอนนี้มีแนวทางเดียวกันและผลประโยชน์สูงสุดของประชาชนไทยถูกนำมาเป็นตัวตั้งสำคัญที่สุดไม่ใช่สิ่งอื่น และความเป็นอธิปไตยแห่งรัฐก็เป็นสิ่งสำคัญที่สุดเหนือสิ่งอื่น จึงอยากให้คนไทยไปในทิศทางเดียวกันและขอให้คนไทยทุกคนสบายใจได้ว่าเราไม่ได้ช้า แต่รัฐบาลได้หารือทางหน่วยงานความมั่นคงรวมถึงมีการเดินหน้าในมาตรการทางทหารและเดินหน้าในมาตรการทางการทูตไปพร้อมกัน แม้จะมีมาตรการเรื่องด่านชายแดนเกิดขึ้นแต่ก็ไม่ได้ละทิ้งกลไกทวิภาคี JBC ที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันที่ 14 มิถุนายนนี้ให้เป็นทางออกอย่างสันติวิธี
สำหรับข้อสงสัยถึงการดำเนินมาตรการของไทยซึ่งเป็นการดำเนินการฝ่ายเดียวนั้น ขอย้ำว่ามาตรการมีเป้าหมายเพื่อรักษาความสงบในพื้นที่ ความปลอดภัยของประชาชนทั้งสองชายแดน มีการคำนึงถึงเศรษฐกิจ การค้าชายแดน ชีวิตความเป็นอยู่ และมนุษยธรรมควบคู่กันไป จึงพยายามให้มาตรการกระทบชีวิตประจำวันให้น้อยที่สุด
เรียกร้องอีกครั้งหันหน้ามาคุยกัน
รัฐบาลไทยยืนยันใช้กลไกทวิภาคีและยังคงปฏิบัติตาม MOU43 ว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก ปี 2543 ซึ่งเป็นเอกสารทางกฎหมายที่ทั้งสองประเทศตกลงร่วมกันและย่อมต้องยึดถือปฏิบัติ ขอให้เชื่อมั่นว่า JBC จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งเพื่อหาทางออกอย่างสันติด้วยความจริงใจต่อกัน เพื่อให้สถานการณ์ชายแดนกลับมาปกติสุข ไทยจึงขอเรียกร้องอีกครั้งให้กัมพูชาลดความตึงเครียดทางการทหารลง หันมาใช้กลไกทวิภาคีให้เป็นประโยชน์สูงสุดเพื่อไม่ให้สถานการณ์รุกลามต่อไป
ไม่ต้องการประเทศที่สามช่วยเคลียร์
ส่วนความเข้าใจสถานการณ์ไทยกับกัมพูชาของประเทศในกลุ่มอาเซียน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ยอมรับว่านานาประเทศสนใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ขณะเดียวกันประเทศไทยได้สื่อสารไปยังนานาประเทศเพื่อให้มีความเข้าใจที่ถูกต้องและความเป็นจริงว่าเกิดอะไรขึ้น และสิ่งที่สื่อสารออกไปคือไทยสามารถจัดการปัญหาได้เองด้วยกลไกทวิภาคี จนถึงวันนี้ยังไม่ต้องการความช่วยเหลือจากประเทศที่สามแต่อย่างใด ส่วนประเทศที่สามที่สนใจและอยากรู้ในสถานการณ์ของประเทศไทยและกัมพูชาก็จะมาถามข้อเท็จจริง อย่างประเทศมาเลเซียที่มาสอบถาม ซึ่งไทยเราได้อธิบายและแจ้งให้ทราบถึงความเป็นจริงว่าเกิดอะไรขึ้น จึงคิดว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง