“จตุพร พรหมพันธุ์” ชี้ การเรียกร้องปมชายแดนไทย - กัมพูชา ไม่ใช่การกระหายสงคราม แต่เป็นหน้าที่ประชาชน มองว่าหากไทยเกิดรัฐประหาร คงเกิดจาก “นายกฯ” อ่อนแอ - “พ่อนายกฯ” สทร. ท้า “ทักษิณ” แสดงความกล้าหาญ ไปฟังศาลฎีกาไต่สวนชั้น 14 แต่ส่วนตัวเชื่อว่าไม่ไป
วันที่ 7 มิถุนายน 2568 นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีสถานการณ์ชายแดนไทย - กัมพูชา ว่า ในขณะนี้เป็นสถานการณ์ชี้ชะตากรรมของประเทศในหลายประเด็นร้อนแรงที่สุด คงหนีไม่พ้นกรณีชายแดนไทย - กัมพูชา ซึ่งตนเองเคยพูดหลายครั้งแล้วว่า ถ้าสองประเทศนี้จะมีปัญหากัน ต้องไม่ใช่วันที่ตระกูลชินวัตรเป็นรัฐบาลหรือผู้นำประเทศ เพราะผู้นำของทั้งสองมีความสนิทสนมกัน ซึ่งนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีก็มีบ้านอยู่ที่กลางกรุงพนมเปญ ส่วนลูกสาวของน้องสาวนายทักษิณก็แต่งงานกับนักการเมืองกัมพูชา
นายจตุพร กล่าวต่อว่า ตนเองรู้จักกับสมเด็จฮุนเซน อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา และนายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชาเป็นการส่วนตัว แต่เรื่องชายแดนจะต้องแยกแยะระหว่างเรื่องส่วนตัวกับผลประโยชน์ โดยตนมองว่าการทำหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีและฝ่ายความมั่นคงตอนนี้สะท้อนให้เห็นถึงความอ่อนแอ ลักษณะการพูดเสียเปรียบ พร้อมยกตัวอย่างกรณีลูกเรือชาวประมงไทยที่รุกล้ำหน้าน้ำกับเมียนมา และมีการสารภาพจนสุดท้ายก็แพ้คดี เช่นเดียวกับตอนนี้ที่นายทักษิณได้บอกว่าพูดคุยกับสมเด็จฮุนเซน ที่จะเป็นสนามรบเป็นสนามตะกร้อ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่มีใครขำด้วย
อีกทั้ง การบอกว่าพื้นที่ข้อพิพาทเป็นโนแมนแลนด์ ไม่มีใครถือสิทธิ์ ซึ่งถือเป็นการรับสารภาพว่ามีการรุกล้ำพื้นที่ ทำให้กัมพูชาจะนำเรื่องนี้เข้าสู่ศาลโลก
นายจตุพร กล่าวถึงท่าทีของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ว่ามีความอ่อนแอ ตอบคำถามไม่รู้เรื่อง และไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ทำให้สุ่มเสี่ยงในเรื่องดินแดน ซึ่งที่ผ่านมาไทยพยายามต่อสู้มาตลอดว่าจะไม่ขอเสียดินแดนแม้แต่ตารางนิ้วเดียว แต่การออกมาให้สัมภาษณ์ของรัฐบาลสะท้อนถึงความไม่เข้มแข็งของประเทศ ไม่ใช่แค่ตัวนายกรัฐมนตรี ยังรวมถึงนายภูมิ เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และกองทัพบก ที่ออกแถลงการณ์เรื่องการปิดด่านชายแดนที่ไม่ชัดเจน
...
ทั้งนี้ ส่วนตัวเชื่อว่าอีกไม่กี่วันแม่ทัพภาคที่ 2 จะประกาศใช้กฎอัยการศึกที่บริเวณตะเข็บชายแดนต่างๆ ส่วนที่ก่อนหน้านี้ที่นายภูมิธรรม ได้ไปพูดคุยกับรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของกัมพูชา ที่อรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว หลังจากนั้นนายกรัฐมนตรีออกมาบอกว่าทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อย แต่ในขณะเดียวกันทางการกัมพูชาก็ปฏิเสธทุกข้อเสนอ จึงมองว่ากัมพูชาเหมือนได้นักรบปกครองประเทศ แต่ฝั่งไทยไม่ได้เป็นแบบนั้น
นายจตุพร กล่าวอีกว่า เรื่องดินแดนเป็นเรื่องระหว่างรัฐกับรัฐ กองทัพกับกองทัพ ซึ่งการที่ออกมาเคลื่อนไหว ไม่ได้ต้องการเรียกร้องให้เกิดการรัฐประหาร อย่างที่ปลุกกระแสกันอยู่ในขณะนี้ แต่ในวันนี้ได้เวลาของคนไทยในการปกป้องประเทศ ไม่ใช่การเรียกร้องรัฐประหาร ซึ่งในแผ่นดินนี้ใครที่เรียกร้องรัฐประหาร ก็เป็นเพราะความอ่อนแอของนายกรัฐมนตรี และการ สทร.ของพ่อนายกฯ ทุกเรื่อง และการไม่รู้เรื่องอะไรเลยของรัฐมนตรี
อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 10 มิ.ย.นี้ นายสนธิ ลิ้มทองกุล และนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ได้ชักชวนตนให้ไปร่วมแสดงจุดยืน กลุ่มของตนก็จะไปร่วมด้วย และส่วนตัวมองว่าปัญหาที่เกิดขึ้นต่างๆ ในระหว่างนี้มาจากนายทักษิณที่เป็นพ่อของนายกรัฐมนตรี ทำให้กลุ่มของตนจะเคลื่อนไหวไปที่แพทยสภา ในวันที่ 11 มิ.ย. 68 ในเวลา 10:00 น. ซึ่งตนเองมีข้อมูลว่าเรื่องนี้จะถือเป็นจุดเปลี่ยน และถ้าแหล่งข่าวในแพทยสภาไม่โกหก มีเสียงในคณะกรรมการเกิน 60 เสียงแล้วที่ยืนมติตามเดิม และจะวีโต้กลับนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
ส่วนในวันที่ 13 มิ.ย. ที่ศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่จะนัดไต่สวนคดีชั้น 14 ของนายทักษิณ ซึ่งนายจตุพรได้ท้านายทักษิณให้แสดงความกล้าหาญ เดินทางไปที่ศาลเพื่อรับฟังการไต่สวน และรับคำตัดสิน
“ไม่อยากฟังเหตุผลว่าป่วยอีก ถ้าศาลพิจารณาเสร็จในวันนั้น ก็รับตามคำสั่ง จึงถือว่าเป็นแบบอย่าง ไม่ใช่เก่งแค่ในงานวันเกิด หรืองานต่างๆ ควรมีความรับผิดชอบในฐานะที่เคยเป็นผู้นำประเทศ และเป็นรัฐมนตรีถึง 2 ครั้ง ซึ่งจะต้องมีความกล้า ตายเป็นตาย คุกเป็นคุก แต่ส่วนตัวเชื่อว่านายทักษิณไม่กล้าไป” นายจตุพร กล่าว
นายจตุพร กล่าวอีกว่า ในประเด็นสุดท้าย ที่เป็นเรื่องไทย - กัมพูชา ในที่ประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย - กัมพูชา (JBC) วันที่ 14 มิ.ย.นี้ ซึ่งฝั่งกัมพูชาผู้ชัดเจนว่าจะไม่เอาเรื่องพื้นที่ที่มีข้อพิพาท 1 ช่อง 3 ตา เข้าประชุม แต่จะดำเนินการผ่านกระบวนการศาลโลก แต่ฝั่งไทยยังคงตื้อที่จะนำเข้าประชุม ทั้งที่ไม่มีวาระนี้แล้ว ซึ่งตนเห็นว่า หากนายภูมิธรรมอยากไปเจรจา ก็คงต้องปล่อยให้ไป
ส่วนกรณีที่มีการวิเคราะห์ว่า นายทักษิณมีการปูทางข้ามไปฝั่งประเทศกัมพูชา เป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน นายจตุพร กล่าวว่า ภูมิภาคของกัมพูชามีความมั่นคงภายในมากที่สุด มากกว่าท่าข้ามของประเทศมาเลเซีย และช่องทางตะเข็บชายแดนไทย - กัมพูชา มีจำนวนมากที่สามารถออกไปได้ ถ้าชุดประกบปล่อยปละละเลย อย่างกรณีของนายทักษิณ และนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่หลบหนีออกไปก่อนหน้านี้ ตนก็เชื่อว่าหากไม่ได้รับความร่วมมือกับผู้มีอำนาจ ก็ไม่สามารถออกไปได้ เพราะทหารตรึงกำลังบริเวณชายแดน และช่องทางธรรมชาติอยู่แล้ว ดังนั้น ตนเห็นว่าช่องทางที่จะสามารถออกนอกประเทศไปได้ ก็มีเพียงประเทศกัมพูชาเท่านั้น