นายกฯ แจงสถานการณ์ชายแดน ไทย-กัมพูชา ยันรัฐบาลเดินหน้ารักษาอธิปไตย จะปฏิบัติด้วยสันติวิธี แต่พร้อมรับมือหากสถานการณ์แรงขึ้น อย่ามองเป็นเรื่องการเมือง ตอบปมครอบครัวชินวัตรสนิท “ฮุนเซน” ทุกคนมีเพื่อนได้ มั่นเจรจา JBC คลี่คลาย
เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 4 มิถุนายน 2568 นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ ณ บริเวณโถงกลาง ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ในพื้นที่อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ว่า ตนเน้นย้ำเรื่องขอความเป็นหนึ่งเดียวกัน จากสถานการณ์ปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่คนไทยทุกคนต้องรักและสามัคคีกัน ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ใช่ประเด็นของการเมืองภายในประเทศที่จะต้องมีการแบ่งฝ่ายว่า ฝ่ายรัฐบาลทำงานดีหรือไม่ดี ทหารทำงานดีหรือไม่ดี แต่เป็นเรื่องที่ทุกคนต้องช่วยกัน
“ทุกๆ สื่อต้องขอให้มีการเข้าช่วยเหลือกันในเรื่องดังกล่าวนี้ เพราะสื่อมีอิทธิพลทางความคิดต่อคนกลุ่มมากหรือคนกลุ่มน้อย จำเป็นต้องสื่อสารกับคนทุกคนให้เข้าใจถูกต้องว่า เมื่อมีปัญหาระหว่างประเทศคนไทยต้องสามัคคีกัน ถึงจะมีแรงในการต่อสู้ พูดคุยเจรจา ต้องใช้ความสามัคคีเป็นหนึ่งเดียวกัน เพื่อสนับสนุนซึ่งกันและกัน”
นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อไป รัฐบาลไม่ได้ระบุว่าพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง แต่หมายถึงรัฐบาล ฝ่ายค้าน ประชาชน เพราะทุกคนคือคนไทย และประเทศไทย ซึ่งทุกคนต้องให้ความร่วมมือ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแสดงความคิดเห็น หรือการปล่อยเฟกนิวส์ เป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น ทั้งนี้ รัฐบาลได้ดำเนินการในเรื่องดังกล่าวอย่างเต็มที่ จะต้องรักษาอธิปไตยของประเทศไทยไว้ ซึ่งรัฐบาลและทหารมีการพูดคุยหารือในเรื่องดังกล่าวอยู่ตลอดเวลาว่าจะไปในทิศทางใดและอย่างไร รวมถึงเรื่องของความปลอดภัยก็ได้เตรียมพร้อมไว้แล้วหากเกิดการปะทะ สถานการณ์มีความรุนแรงขึ้น ถึงแม้ประเทศไทยจะใช้สันติวิธี แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ผิดคาดก็พร้อมที่รับมือกับสถานการณ์ทุกรูปแบบ อย่างไรก็ตามประเทศไทยเลือกสันติวิธี เพราะไม่ต้องการให้มีการปะทะ ไม่ต้องการให้เกิดการเสียเลือดเสียเนื้อไม่ว่าจะเป็นคนของประเทศไหน
...
“เครื่องมือและอุปกรณ์มีความพร้อม แต่พร้อมที่พูดคุยได้ในทุกระดับ ซึ่งในวันนี้ทางด้าน นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะมีการเดินลงพื้นที่เพื่อให้กำลังใจผู้ปฏิบัติงาน อีกทั้งจะมีการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม หรือ Joint Boundary Committee (JBC) ไทย-กัมพูชา ในวันที่ 14 มิถุนายน 68”



น.ส.แพทองธาร เผยอีกว่า ในช่วงระยะเวลาก่อนถึงวันที่ 14 มิถุนายน 2568 คนในชาติต้องรักกัน และเข้าใจด้วยว่าความร่วมมือต่างๆ เป็นสิ่งสำคัญมาก ส่วนในรายละเอียดของการพูดคุยในทุกระดับนั้น ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ทั้งหมด ขอให้ทุกๆ คนเข้าใจ และขอย้ำว่าอย่ามองเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องของการเมือง ทำให้คนที่ไม่สนับสนุนออกมาต่อสู้กัน วันนี้คนไทยต้องร่วมมือกัน เพื่อที่จะปกป้องพื้นที่ ปกป้องคนไทย คือสิ่งสำคัญ
ในประเด็นคำถามถึงขบวนการสมคบคิดร่วมกับกัมพูชา นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่คิดอย่างนั้น คิดว่าไม่มีอะไรแบบนั้น ขณะที่กระแสวิพากษ์วิจารณ์บนโลกออนไลน์ท่าทีของนายกรัฐมนตรีว่าตระกูลชินวัตร สนิทกับสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ความสัมพันธ์ในระดับของผู้นำถือว่าเป็นมิตรกัน ส่วนตัวคิดว่าไม่ใช่เรื่องเสียหายที่จะมีเพื่อน ทุกคนมีเพื่อนได้ ถ้าวันหนึ่งเพื่อนทะเลาะกัน หรือไม่เข้าใจกัน จะต้องปรับความเข้าใจกัน ถ้าเป็นด้านการค้า รัฐบาลได้มีการพูดคุยตลอด ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำมาอย่างต่อเนื่องไม่ใช่แค่กับประเทศกัมพูชาเท่านั้น ประเทศมาเลเซียก็พูดคุย รวมถึงประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนด้วย
ส่วนข้อเสนอแนะจากนักวิชาการว่าท่าทีของรัฐบาลนิ่งไป ควรมีการปรับยุทธศาสตร์เชิงรุก หรือปิดด่านชายแดนเพื่อตอบโต้บ้างนั้น นายกรัฐมนตรี ระบุว่า เป็นเรื่องของความสงบสุข หากปิดด่านจะเกิดความรุนแรงหรือไม่ จะเกิดโทษหรือคุณอย่างไร เรื่องนี้มีการปรึกษากับทางทหารตลอดว่าควรจะทำอย่างไร หน้างานอุณหภูมิประมาณไหน เป็นสิ่งที่ได้คุยกันตลอด และในวันนี้ที่ได้มีการออกแถลงการณ์ตั้งแต่เช้า มีการคุยกันระหว่างกระทรวงการต่างประเทศและรัฐบาลว่าควรออกแถลงการณ์แบบไหน เพื่อให้ประชาชนรับทราบว่าเราพร้อมดูแลพี่น้องประชาชนและพร้อมพูดคุยกับต่างประเทศด้วยสันติวิธี ในส่วนนี้คือข้อความหลักที่จะเกิดขึ้น



ทางด้าน นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นายกรัฐมนตรี กล่าวในที่ประชุมว่า วันนี้ในเรื่องของปัญหาชายแดนขอให้คณะรัฐมนตรีร่วมกันแก้ไข ทั้งนี้การแก้ปัญหาจะไม่มีการเมือง ไม่มีฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล เพราะประเทศไทยต้องมาก่อน พร้อมกับมีข้อสั่งการดังนี้
สำหรับสถานการณ์ชายแดน ไทย-กัมพูชาที่อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี นายกรัฐมนตรีสั่งการให้กระทรวงกลาโหม กองทัพบก และกระทรวงการต่างประเทศ ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและเป็นเอกภาพ ขอยืนยันว่ารัฐบาลมุ่งมั่นในการรักษาอธิปไตยของประเทศไทยให้ถึงที่สุด และจะใช้มาตรการต่างๆ ในการคลี่คลายสถานการณ์ตามกรอบกฎหมาย และข้อตกลงกับประเทศกัมพูชา ตาม MOU 43 อย่างสันติ เพื่อไม่ให้เกิดการสูญเสีย และความเสียหายโดยไม่จำเป็น รวมทั้งเร่งรัดให้มีการเจรจาผ่านคณะกรรมการชายแดนฯ (JBC) โดยในครั้งนี้ทางกัมพูชาจะเป็นเจ้าภาพในวันที่ 14 มิถุนายน จึงขอมอบหมายดังนี้
1. ให้กระทรวงการต่างประเทศ รับผิดชอบเรื่องการแถลงข่าวสถานการณ์ดังกล่าวเป็นระยะ โดยให้ประสานข้อมูลอย่างใกล้ชิดกับกระทรวงกลาโหม กองทัพ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
2. ให้หน่วยงานความมั่นคง และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เข้มงวดควบคุมไม่ให้เกิดข่าวเท็จที่ยุยงปลุกปั่นในสถานการณ์ที่เปราะบางเช่นนี้ และขอความร่วมมือให้สื่อต่างๆ รวมทั้งโซเชียลมีเดีย และภาคส่วนต่างๆ อย่าปลุกเร้าขยายให้ความขัดแย้งมากขึ้น เพราะไม่เป็นประโยชน์ใดๆ ต่อประชาชนคนไทยและประเทศชาติ
3. ขอส่งกำลังใจแก่ทุกเหล่าทัพ และทหารที่อยู่ในแนวหน้า ขอให้ทำหน้าที่รักษาอธิปไตยด้วยความอดกลั้น เพื่อความสงบสุขของพี่น้องประชาชนคนไทยทั้งประเทศ และขอยืนยันว่ารัฐบาลจะเร่งรัดแก้ปัญหาให้คลี่คลายโดยเร็วที่สุด.

