เพื่อไทยเอาแน่ยึดคืน “มหาดไทย” เสนอเก้าอี้ สธ.ให้ “อนุทิน” คืนถ้ำ พร้อมชงพาณิชย์-ดีอีให้เป็นทางเลือก วางตัว “ประเสริฐ” ไปเสียบเก้าอี้ มท.1 “สรวงศ์” รับ สส.พรรคบ่นเรียกร้องขอกระทรวงหลักกลับคืน ยันไม่น่าปรับ ครม. ภายในสัปดาห์นี้ เชื่อ ภท.ไม่น่าชิงแยกตัวพ้นรัฐบาล “เสี่ยหนู” เสียศูนย์เล่านาทีระทึก ลื่นล้มก้นจ้ำเบ้าในวัดพระแก้ว บอกปรับ ครม.นายกฯบอกไม่มีอะไรก็ต้องเชื่อ รอฟังผู้นำคนเดียวเท่านั้น ยื้อโควตา มท.อ้างข้อตกลงเดิมตอนตั้งรัฐบาล “ไหม” ลั่นอย่าเอา ปชน.ไปยุ่งกับศึก 2 พรรค บอกดูละครตบจูบลากกันไปไม่ครบวาระแน่ รทสช.หม้อข้าวแตก “แรมโบ้” โผล่อ้างสิทธิผู้ก่อตั้งพรรคทวงคืนมรดก “ลุงตู่” “เสธ.หิ” สวนพรรคเป็นของประชาชนไม่คืนให้ใคร แจงคนในวงข้าวไม่ย้ายไปไหน ยังนับยอด สส.หอบผ้าตาม “สุชาติ” ไม่ได้ ไล่ “เฮ้ง” พรรคไม่ตรงจริตออกได้ทันที

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) เป้าใหญ่ในกระแสข่าวพรรคเพื่อไทย (พท.) ทวงคืนกระทรวงมหาดไทย (มท.) ไปดูแลเอง โดยจะแลกกับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสาธารณสุข หรือกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) โดยนายอนุทินย้ำการปรับ ครม.ต้องฟังนายกรัฐมนตรี ผู้มีอำนาจตัดสินใจเท่านั้น

มท.1 นำ ขรก.ทำบุญวันเฉลิมฯ พระราชินี

เมื่อเวลา 07.00 น.วันที่ 2 มิ.ย.ที่วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ราชวรวิหาร กรุงเทพฯ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) พร้อม น.ส.ธนนนท์ นิรามิษ ภริยาและที่ปรึกษากิตติมศักดิ์สมาคมแม่บ้านมหาดไทย เป็นประธานพิธีทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศลและถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสวันเฉลิม พระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี 3 มิ.ย.68 โดยสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เลขานุการสมเด็จพระสังฆราช กรรมการมหาเถรสมาคม ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ราชวรวิหาร นำคณะสงฆ์รับบิณฑบาต มีนายทรงศักดิ์ ทองศรี รมช.มหาดไทย นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมข้าราชการระดับสูงร่วมพิธีพร้อมเพรียง นายอนุทินได้นำผู้ร่วมพิธีเปิดกรวยกระทงดอกไม้ถวายธูปเทียนแพถวายราชสักการะเบื้องหน้าพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ก่อนถวายแจกันดอกไม้เบื้องหน้าพระฉายาลักษณ์ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี แล้วกล่าวนำถวายพระพรชัยมงคล

...

ปรับ ครม.นายกฯ บอกไม่มีอะไรก็ต้องเชื่อ

จากนั้นนายอนุทินให้สัมภาษณ์ถึงกระแสปรับ ครม.โดยพรรคเพื่อไทย (พท.) จะให้นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกฯ และ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็น รมว.มท.แทนว่า ยังไม่มีการพูดถึงการปรับ ครม.กับ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ หรือนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ เมื่อนายกฯ บอกว่าไม่มีอะไรต้องเชื่อนายกฯ จึงต้องถามนายกฯ ถึงความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนกระทรวง เมื่อถามว่ามีความจำเป็นปรับเปลี่ยนหรือไม่ นายอนุทินตอบว่า นายกฯบอกว่ายังไม่มีอะไร เมื่อถามว่าพ่อของนายกฯ ระบุว่าจะมีการปรับเปลี่ยน แต่นายกฯระบุว่าไม่มี ก่อให้เกิดความสับสนหรือไม่ นายอนุทินตอบว่า หัวหน้ารัฐบาลคือนายกฯ โดยนายกฯให้สัมภาษณ์แล้วยังไม่มีอะไร ให้ฟังนายกฯคนเดียว เพราะเป็นผู้มีอำนาจพิจารณาตัดสินปรับเปลี่ยน

ยกเงื่อนไขเดิมตั้ง รบ.เตือนความจำ

เมื่อถามว่าได้มีพูดคุยกับพรรคร่วมรัฐบาลพรรคอื่นหรือไม่ นายอนุทินตอบว่า ไม่ได้คุย ตนว่าไม่มีอะไร ความจริงแล้วไม่มีอะไรเลย เมื่อถามว่าถ้ามีปรับเปลี่ยนกระทรวงเกิดปัญหาหรือไม่ นายอนุทินตอบว่าทำงานมา 2 ปีแล้ว การเข้าร่วมเป็นรัฐบาลมีข้อตกลงกันอยู่ตั้งแต่ดั้งเดิม ทุกคนทำงานสนองนโยบายนายกฯ ตั้งแต่นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกฯ มาจนถึง น.ส.แพทองธาร ทุกกระทรวงทำงานสนองนโยบายนายกฯ ทั้ง 2 คน อย่างเต็มที่ ความสัมพันธ์ดีไม่ได้มีปัญหาอะไร เมื่อถามย้ำถ้าจำเป็นต้องเปลี่ยนกระทรวง ภท.อยากได้กระทรวงอะไรจะใช้เงื่อนไขเดิมมาต่อรองหรือไม่ นายอนุทินตอบว่า นายกฯบอกว่ายังไม่มีอะไร และนายกฯได้ตอบคำถามสื่อมวลชนชัดเจน

ใครๆก็อยากคุมกระทรวงเกรดเอ

เมื่อถามย้ำนายกฯพูดชัดเจนแต่พ่อนายกฯ พูดอีกแบบ ย้อนแย้งกันหรือไม่ นายอนุทินตอบว่า ในความเป็นรัฐบาลนายกฯ เป็นหัวหน้ารัฐบาล ต้องฟังหัวหน้ารัฐบาล เมื่อถามว่าทำให้สับสนหรือไม่ว่าใครเป็นผู้มีอำนาจที่แท้จริงระหว่างนายกฯกับพ่อนายกฯ นายอนุทินตอบว่า ไม่เคยมีความสับสน ผู้สื่อข่าวไม่ควรถามอย่างนี้ ถามอย่างนี้จะให้ตอบอย่างไร ทุกการกระทำทุกงานที่เราทำก็ทำตามนโยบาย หรือกระทั่งมีประเด็นสำคัญทำตามข้อสั่งการของนายกฯ เมื่อถามย้ำหากพรรคเพื่อไทยต้องการ มท.ต้องเอากระทรวงอะไรมาแลก นายอนุทินตอบว่า ทุกพรรคต้องการกระทรวงขนาดใหญ่ทั้งนั้น อย่าเพิ่งไปคิดเลย ถ้าถามอย่างนี้เดี๋ยวพรรคนี้ต้องการกระทรวงนั้นกระทรวงนี้ วันนั้นท่านพูดว่าต้องการกระทรวงเกษตรฯด้วย โดยนักข่าวได้ไปถาม ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า สส.พะเยา ประธานที่ปรึกษาพรรคกล้าธรรมแล้ว ก่อนที่นายอนุทินจะมีอาการไอ และขอไม่ตอบคำถามสื่อมวลชนต่อ

เล่านาทีระทึกลื่นล้มก้นจ้ำเบ้า

หลังให้สัมภาษณ์นายอนุทินได้เล่าให้สื่อมวลชนฟังว่า เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. ลื่นล้มก้นจ้ำเบ้า ที่วัดพระศรี รัตนศาสดารามในช่วงที่ฝนตก ระหว่างเดินตามนายกฯ หลังจากล้มทำให้สวมแหวนที่สวมประจำไม่ได้ เพราะเจ็บนิ้วนางข้างซ้ายบวม ใส่แหวนไม่ได้ ตุ่ยเลย ตอนล้มเอามือไปยัน ผู้สื่อข่าวถามว่า สะโพกไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่ หรือไปหาหมอตรวจเอกซเรย์ นายอนุทินตอบว่ายังๆ แต่เดี๋ยวไปขอยาแก้ปวด เมื่อถามต่อว่าช่วงนี้ ครม.เจ็บออดๆแอดๆ นายอนุทินร้อง ห๊า!! แล้วหัวเราะก่อนกล่าวว่า “ไม่เป็นไรนิดๆ หน่อยๆ เดี๋ยวก็มีภูมิคุ้มกัน”

ภท.นิ่งรอความชัดเจนจากนายกฯ

ขณะที่คนใกล้ชิดนายอนุทิน เปิดเผยว่า ทางพรรคภูมิใจไทยยังจะคงรอสัญญาณที่ชัดเจนจาก น.ส.แพทองธาร เพราะ น.ส.แพทองธาร ยังไม่เคยพูดเรื่องปรับ ครม.กับนายอนุทิน พรรคภูมิใจไทยจึงถือว่าขณะนี้ยังไม่มีสัญญาณการปรับ ครม.ออกมา

“สรวงศ์” รับ พท.อยากได้กระทรวงหลัก

นายสรวงศ์ เทียนทอง รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา เลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกระแสข่าวการปรับ ครม.ในสัปดาห์นี้ว่า ไม่ทราบเลย เป็นอำนาจของนายกฯ ยังไม่มีส่งสัญญาณอะไรมาที่ตนเลย เมื่อถามว่ามีข่าวออกมาบอกว่าจะปรับ ครม.สัปดาห์นี้ เป็นไปได้หรือไม่ นายสรวงศ์กล่าวว่า สัปดาห์นี้เลยเหรอ คิดว่าน่าจะยังไม่ใช่สัปดาห์นี้ เพราะสัปดาห์นี้รัฐบาลและประชาชนให้ความสำคัญในวันเฉลิมพระชนม พรรษาสมเด็จพระราชินีฯ และนายกฯยังไม่ได้พูดอะไร ยังอยากจะทำงานร่วมกันอย่างนี้ต่อไปก่อน แต่ตรงนี้ไม่ทราบ นายกฯอาจมีคิดหรือวางตัวอะไรไว้แล้ว แต่ตนไม่ทราบจริงๆ เมื่อถามว่าข่าวออกมาพรรค พท.ต้องการเอากระทรวงมหาดไทยมาดูแล นายสรวงศ์กล่าวว่า ความจริงมันก็มีบ้างที่สมาชิกจะบ่นกันว่าอยากได้กระทรวงหลักๆกลับมา ทั้งกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงเกษตรฯ จริงๆแล้วเราอยากได้กระทรวงหลักๆกลับมา เพราะเป็นเรื่องของกระแส การทำนโยบายของเราด้วย แต่ทั้งหมดไม่น่ามีปัญหาอะไร เพราะนายกฯได้วางตัวคนทำงานอยู่แล้ว ไม่ได้มีปัญหา

เชื่อ ภท.ไม่น่าชิงออกจากรัฐบาล

เมื่อถามว่า ข่าวจะดึงกระทรวงมหาดไทยกลับคืน เลยทำให้มีข่าวออกมาว่าพรรค ภท.อาจชิงแยกตัวออกมาจากรัฐบาลก่อน จนมีข่าวปรับ ครม.ออกมาในสัปดาห์นี้ รัฐบาลจะมีปัญหาเสียงสนับสนุนหรือไม่ นายสรวงศ์กล่าวว่า “โอ้ย ผมว่าไม่น่าจะออกนะครับ เพราะถ้าจะออกจริง น่าจะโชว์ตั้งแต่โหวตร่าง พ.ร.บ.งบฯปี 69 แล้ว น่าจะเป็นเพียงการพูดคุยกันมากกว่า” เมื่อถามว่าสถานการณ์ของพรรค ภท.และ พท.จะยื้อกันไปกันมา แบบนี้จะไปได้ตลอดรอดฝั่งจนครบวาระอีก 2 ปีนี้หรือไม่ นายสรวงศ์กล่าวว่า เอาน่า แบบนี้แหละ มันก็เป็นแบบนี้แหละ รัฐบาลผสม คิดไม่เหมือนกันบ้าง ว่ากันไป เมื่อถามว่าพรรคร่วมรัฐบาลควรมีนัดดินเนอร์กันอีกครั้งหนึ่งหรือไม่ เพื่อปรับจูนความคิดกันใหม่ นายสรวงศ์กล่าวว่า เดี๋ยวจะมีใกล้ๆนี้แหละ เพราะที่ผ่านมาเราติดเรื่องการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบฯ คิดว่าเดี๋ยวนายกฯคงจะเชิญพรรคร่วมรัฐบาลทานข้าวเร็วๆนี้ แต่คงจะไม่ใช่ในสัปดาห์นี้

พท.เอาแน่ดึง มท.คืนแลก สธ.

ผู้สื่อข่าวรายงานจากพรรค พท.ว่า ขณะนี้เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าพรรค พท. ต้องการดึงกระทรวงมหาดไทยมาอยู่ในการดูแลของพรรค เพราะจะมีผลต่อการเรียกกระแสนิยมให้กับพรรค พท. โดยเสนอให้สลับกระทรวงมหาดไทยกับกระทรวงสาธารณสุข ที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและ รมว.มหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) เคยเป็น รมว. รวมถึงมีตัวเลือกเพิ่มเติม เช่น กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงดีอีให้พรรค ภท. ตัดสินใจ พรรค พท.ประเมินว่าพรรค ภท.จะเลือกกระทรวงสาธารณสุข เพราะนายอนุทินเคยนั่งคุมอยู่ แต่ที่สุดแล้วต้องอยู่ที่การตัดสินใจของพรรค ภท.ว่าจะรับข้อเสนอดังกล่าวหรือไม่

“ประเสริฐ” ตัวเต็งเสียบเก้าอี้ มท.1

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การเจรจาขอสลับกระทรวงหลักตามเกมของพรรค พท. นอกจากเรื่องแลกกระทรวงแล้ว ยังมีประเด็นค้างคาระหว่างกัน ไม่ว่าจะเรื่องคดีฮั้วเลือกตั้ง สว. โครงการเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ มาเป็นปัจจัยในการเจรจาด้วย อย่างไรก็ตาม ในส่วนของพรรค พท. มีการเตรียมพร้อมเอาไว้แล้ว โดยบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่ง รมว.มหาดไทยคนใหม่คือนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกฯ และ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นเต็งหนึ่ง

สส.พท.นิ่งพร้อมทำตามผู้นำ

นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ ประธาน สส. พรรค พท.ให้สัมภาษณ์ถึงการปรับ ครม. รวมถึงการสลับกระทรวงระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลว่า สส.พรรค พท.ไม่ได้พูดคุยกัน เพราะหลังการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบฯ ปี 69 เสร็จสิ้น สส.แต่ละคนต่างลงพื้นที่ และ สส.พรรคมีความคิดเห็นและแนวทางเดียวกันที่จะให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรค พท.และหัวหน้ารัฐบาล เป็นผู้ตัดสินใจเรื่องนี้ เพราะทำงานใกล้ชิดกับทั้งรัฐมนตรีและ สส.พรรค ย่อมรู้ดีว่าใครควรได้ทำงานแบบไหน จากการสอบถามเพื่อนๆที่เป็นรัฐมนตรีต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่ทราบเรื่องนี้ เพราะให้เป็นการตัดสินใจของ น.ส.แพทองธาร สมาชิกพรรคทุกคนไม่มีใครเข้าไปพูดคุย หรือวิ่งเต้นอะไรกับ น.ส.แพทองธาร เพราะไม่อยากให้หนักใจ สมาชิกพรรคทุกคนยินดีทำตามการตัดสินใจของ น.ส.แพทองธาร ผู้บังคับบัญชาสูงสุด เชื่อว่าไม่มีใครแทรกแซงการตัดสินใจของ น.ส.แพทองธารได้ เพราะท่านเด็ดเดี่ยว มีวิจารณญาณเป็นผู้นำที่เข้มแข็ง ไม่มีใครมาออกใบสั่งนายกฯได้

แต่ถ้าได้ มท.มาดูเองจะเป็นผลดี

น.ส.สุดารัตน์ พิทักษ์พรพัลลภ สส.อุบลราชธานี พรรค พท.กล่าวว่า หากมีการสลับกระทรวง นำกระทรวงมหาดไทยมาอยู่ในการกำกับดูแลของพรรค พท. แน่นอนมีข้อดีอยู่แล้ว สส.สะท้อนปัญหาได้และทำอะไรได้มากขึ้น ดีกว่าเป็นของคนอื่นอยู่แล้ว ส่วนจะมีผลต่อการเลือกตั้งในปี 70 หรือไม่ ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่ผลงาน หากพรรค พท.ทำผลงานดีประชาชนตัดสินเอง เมื่อถามว่า สส.พรรคได้พูดคุยกันหรือไม่ น.ส.สุดารัตน์กล่าวว่า เป็นเรื่องธรรมดาที่เราเจอหน้ากันจะพูดคุยกัน เราจะได้กระทรวงไหนก็เป็นผลประโยชน์หนึ่งของ สส.ในพรรค จริงๆถ้าได้เยอะ ทุกคนต้องยินดี อยากได้ เมื่อถามว่าหากมีการสลับกระทรวง และพรรค พท.ได้ดูแลกระทรวงมหาดไทยจริงๆ มองว่าจะมีผลต่อรอยร้าวของพรรคร่วมรัฐบาลหรือไม่ น.ส.สุดารัตน์กล่าวว่า หากตกลงกันได้ด้วยดี ทุกอย่างไม่น่ามีปัญหาอะไร

ชี้ รบ.ฟัง ปชช.เร่งโฟกัสสร้างผลงาน

นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สส.บัญชีรายชื่อพรรค พท.กล่าวถึงดุสิตโพลเปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นว่าคนกำลังหมดหวังและเบื่อหน่ายกับการเมืองมากขึ้นว่า ถ้าไปดูในรายละเอียดของผลโพล เขาวิเคราะห์กันว่า เหตุที่ประชาชนตอบว่าเบื่อหน่ายมาจาก 3 เรื่องคือข่าวการฮั้ว สว. เสถียรภาพของพรรคร่วมรัฐบาล นายกฯและบุคคลที่เกี่ยวข้องกับข่าวเรื่องนี้ยืนยันตรงกันว่าเสถียรภาพรัฐบาลไม่ได้มีปัญหาอะไร สะท้อนผ่านการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบฯที่ผลโหวตท่วมท้น และในการอภิปรายร่างพ.ร.บ.งบฯปี 69 ถ้าสังเกตการตอบของรัฐมนตรีได้เห็นทิศทางการบริหารจัดทำงบฯปีนี้ แต่ผลโพลที่ออกมาประชาชนรู้สึกสะท้อนออกมาเช่นนี้ รัฐบาลต้องน้อมรับและรับฟัง และต้องโฟกัสการสร้างผลงานให้มากขึ้น จะทำให้มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมา และต้องปรับให้สอดรับกับสถานการณ์ เชื่อว่าเมื่อมีมาตรการออกมาแล้ว ภาพรวมในผลงานของรัฐบาลจะดีขึ้น

“ไหม” ลั่นอย่าเอา ปชน.ยุ่งศึก 2 สี

น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรค ปชน. ให้สัมภาษณ์ ในรายการกรรมกรข่าว คุยนอกจอ เรื่องปัญหาระหว่างพรรค พท. และพรรค ภท.ว่า หลังๆ เอาพรรคประชาชนเข้าไปเกี่ยวข้อง ดึงเราเพื่อเสริมอำนาจ เราเริ่มไม่ค่อยจะสบายใจแล้ว ยืนยันว่าในสมัยสภาฯนี้ ไม่เป็นรัฐบาลแน่นอน รักษาคำพูดสัจจะแน่นอน เราไม่ได้ถือหาง ไม่ได้แอบตกลงคุยกัน หากนายกฯลาออกหรือถูกถอดถอนโดยองค์กรอิสระ จะไม่แข่งตั้งรัฐบาล เมื่อถามว่า จะร่วมกับพรรค พท.ได้อีกหรือไม่ น.ส.ศิริกัญญากล่าวว่า ถ้าดีที่สุด เป็นรัฐบาลพรรคเดียวดีกว่า มันเป็นเป้าหมายที่ไปถึงได้ยาก แต่ ณ วันนี้ อยากเดินหน้าทำนโยบายที่เราอยากเห็น

ละครตบจูบลากไปไม่ครบวาระแน่

น.ส.ศิริกัญญากล่าวว่า รัฐบาลพรรคเดียวตอบโจทย์ที่สุด ถ้าสุดท้ายผลไม่ได้ออกมาตามที่เราคาดหวัง เราจะเอานโยบายเป็นตัวตั้ง ยอมรับ MOU ของเราได้หรือไม่ ปัญหาพรรค พท.และพรรค ภท.น่าจะเคลียร์กันได้ในท้ายที่สุด ตบจูบๆแบบนี้ไปอีกสักปีหนึ่ง ไม่ครบวาระแน่ๆ แต่ต้องยื้อกันไปเพื่อให้อยู่ให้นานที่สุด อย่าเอาพวกเราไปเกี่ยวเลย ขอร้องประกาศยืนยันชัดเจน แม้เป็นการตัดทางลดทอนอำนาจการต่อรองของพรรค ภท.

ทสท.ฉะนายกฯลอยตัวเหนือปัญหา

น.ส.ไตรฉัตร ธนสารไตรภพ รองโฆษกไทยสร้างไทย (ทสท.) กล่าวว่า อยากให้นายกฯเร่งโชว์ศักยภาพนายกฯของประเทศไทย อย่าเป็นแค่นายกฯหุ่นเชิด ถ้าจะเป็นนายกฯแค่ในตำแหน่ง แต่ไม่กล้าแสดงภาวะผู้นำ คงถึงเวลาต้องทบทวนตัวเอง หลังอภิปรายงบฯปี 69 จบลง คนไทยเริ่มหมดความอดทน ไม่ได้ยินแนวทางบริหารประเทศจากปากนายกฯเลย มีแต่โยนภาระให้รัฐมนตรีหรือหน่วยงานอธิบายแทน เจ็บกว่านั้นคือคนฟังนายทักษิณ ชินวัตร พูดมากกว่าฟังนายกฯ ผิดฝาผิดตัว อย่าซ่อนอยู่หลังคำพูดสวยหรู แต่ปล่อยวิกฤติลุกลาม ลอยตัวอยู่เหนือปัญหา

“เสธ.หิ” ชี้คนในวงข้าวยังไม่ไปไหน

ส่วนปัญหาความขัดแย้งภายในพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เมื่อเวลา 07.15 น. นายหิมาลัย ผิวพรรณ ที่ปรึกษารองนายกฯและ รมว.พลังงาน ในฐานะ ผอ.พรรค รสทช. โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กถึงกรณีมีภาพการร่วมรับประทานอาหารของ สส.พรรค รสทช. ส่วนหนึ่งนำโดยนายสุชาติ ชมกลิ่น รมช.พาณิชย์ รองหัวหน้าพรรคว่า จากภาพและมีการแถลงข่าวตามสื่อต่างๆว่าเป็นการพูดคุยหาความชัดเจน ในแนวทางทางการเมืองของกลุ่ม สส. ดังกล่าว จึงขอชี้แจงว่า 1.แนวทางการทำงานและอุดมการณ์ของพรรค และนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ยังมุ่งเน้นการทำงานเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน ไม่เปลี่ยนแปลง 2.กรรมการบริหารพรรค 9 คน เป็นคนที่รู้จักกันดี โดยเฉพาะในรูปที่รับประทานอาหารวันนั้น ก็มีกรรมการบริหารพรรคอยู่ด้วย 1 คน ที่เหลือเป็น สส. 4 คน เป็นพ่อ สส. 1 คน เป็นลูก สส. 1 คน รวมรองหัวหน้าพรรคอีก 1 คน ดังนั้น 8 คนนี้รู้จักตนแน่นอน อาจจะลืมไปเลยให้สัมภาษณ์ว่าไม่รู้จัก 3.ในจำนวน สส.หลายท่าน ได้รับข่าวยืนยันกลับมาว่าเป็นการไปร่วมรับประทานอาหารตามคำเชิญ แต่การตัดสินใจย้ายพรรคหรือไม่นั้น หลายคนแจ้งว่ายังไม่ถึงเวลาตัดสินใจ ดังนั้น จำนวนคงไม่อาจนับได้ในเวลานี้

รทสช.ไม่ตรงจริต “เฮ้ง” ออกได้ทันที

นายหิมาลัยระบุว่า 4.สส.ที่ไปมี 2 ประเภท คือแบบเขตเลือกตั้ง มีภาระผูกพันอยู่กับพรรค เพราะตอนเสนอตัวให้ประชาชนเลือก เสนอตัวในนามพรรค รสทช.จึงควรเคารพมติพรรคและอยู่ในกติกาของพรรคอย่างมีมารยาท หากเมื่อถึงเวลาแล้ว ย่อมเป็นสิทธิของท่านที่จะพิจารณาหาพรรคที่เหมาะสมกับจริตของตนเองต่อไป ส่วน สส.แบบบัญชีรายชื่อ เป็นคะแนนของพรรค เพราะประชาชนเลือกที่พรรคไม่ใช่ตัวบุคคล พรรคที่สังกัดไม่ตรงกับความต้องการของตัวเองแล้ว ควรจะลาออกจากสมาชิกพรรคในทันที เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้มีรายชื่อถัดไปได้มีโอกาสมาทำงานตามนโยบายพรรคต่อไป และ 5.การเข้าพบหัวหน้าพรรค ไม่ได้เป็นเรื่องยาก หากเข้าประชุมพรรคจะพบว่าสามารถเสนอความคิดเห็นได้อย่างอิสระ และหลังจากประชุมแล้ว สส.ก็สามารถเข้าพบหัวหน้าพรรคที่ห้องได้ตลอดเวลา รวมถึงงานเลี้ยงสังสรรค์หลังประชุม ถ้าหัวหน้าไม่ติดภารกิจสำคัญจะไปร่วมงานเลี้ยงด้วยเสมอ ร่วมสนทนาพูดคุยสนุกสนานและเป็นกันเอง หากหัวหน้าพรรคมีภารกิจสำคัญที่ไม่สามารถไปร่วมได้ จะมอบเลขาฯให้ไปดูแลแทน หากต้องการทราบข้อเท็จจริงเพิ่มเติม ในฐานะ ผอ.พรรคยินดีเข้าพบและนำเรียน ขอพ่อแม่พี่น้องประชาชนให้มั่นใจในพรรค รสทช. ภายใต้การนำของนายพีระพันธุ์ว่าประเทศชาติและประชาชนต้องมาก่อน

“เสี่ยตุ๋ย” แก้กฎขับขบถพ้นพรรค

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 29 พ.ค. เว็บไซต์ราชการกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศนายทะเบียนพรรคการเมือง เรื่อง การเปลี่ยนแปลงข้อบังคับพรรค รทสช. โดยนายพีระพันธุ์ได้แจ้งที่ประชุมใหญ่พรรค รทสช. ประจำปี 68 เมื่อวันที่ 28 มี.ค. มีมติแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อบังคับพรรค รทสช. เพิ่มเติม ยกเลิกความข้อ 53 ของข้อบังคับพรรค รทสช.พ.ศ.2563 และให้ใช้ข้อความสาระสำคัญ ดังนี้ สมาชิกภาพของสมาชิกพรรคสิ้นสุดลง เมื่อผู้นั้นขาดจากการเป็นสมาชิกพรรค กรณีคณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองมีมติให้พ้นจากการเป็นสมาชิกพรรค เพราะกระทำผิดวินัยหรือมาตรฐานทางจริยธรรมหรือจรรยาบรรณอย่างร้ายแรง หรือไม่ปฏิบัติตามหน้าที่และความรับผิดชอบต่อพรรคการเมือง กระทำความผิดกฎหมายร้ายแรง หรือมีเหตุร้ายแรงอื่น รวมถึงฝักใฝ่พรรคการเมืองอื่นหรือสนับสนุนผู้สมัครในตำแหน่งทางการเมืองใดๆที่ไม่ใช่ของพรรคการเมือง และกระทำการใดที่ทำให้เกิดความแตกแยกหรือความเป็นเอกภาพในพรรค การเมือง หรือการบริหารพรรคการเมือง รวมทั้งสนับสนุนหรือส่งเสริมการกระทำเช่นว่านั้น

สส.ย้ายค่ายหาพรรคใหม่ได้ใน 30 วัน

ขณะที่คณะกรรมการบริหารพรรค รทสช.ชุดปัจจุบัน 9 คน ประกอบด้วย 1.นายพีระพันธุ์ 2.นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ 3.นายดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง 4.นายวิทยา แก้วภราดัย 5.นายเกชา ศักดิ์สมบูรณ์ 6.นายวิสุทธิ์ ธรรมเพชร 7.นายชื่นชอบ คงอุดม 8.นายปรากรมศักดิ์ ชุณหะวัณ และ 9.นายเกรียงยศ สุดลาภา ส่วนใหญ่เป็นฝั่งนายพีระพันธุ์ ขณะที่รัฐธรรมนูญ ปี 60 กรณี สส.ถูกขับพ้นพรรค การเมือง รีบดำเนินการย้ายเข้าพรรคใหม่ ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่พรรคมีมติ สส.คนนั้นจะยังมีสถานะเป็น สส.ต่อไป ทั้ง สส.แบบแบ่งเขตและบัญชีรายชื่อ

“แรมโบ้” โผล่ทวงคืนมรดก “ลุงตู่”

นายเสกสกล อัตถาวงศ์ อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯและอดีตสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เปิดเผยว่า ขอประกาศทวงคืนพรรค รทสช.และในฐานะผู้ก่อตั้งพรรคจะขอเอาพรรคคืน ขอขับไล่นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯ และ รมว.พลังงาน หัวหน้าพรรค รทสช. ออกไป เพราะไม่สง่างาม ขอให้คนอื่นเหมาะสมกว่านี้มาเป็นหัวหน้าพรรคดีกว่า มีอีกหลายเรื่องกรณีนายสนธิญา สวัสดี ไปร้องคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ข้อมูลค่อนข้างน่าเชื่อถือ ไม่เคยออกมาชี้แจงความจริง มาขอพรรคตนไปดูแล แต่ทำได้ไม่ดี มีแต่ความแตกแยก สส.บ่นไม่มีความอบอุ่นเลย หัวหน้าพรรคเข้าถึงยาก ความคิดเป็นใหญ่ไม่ค่อยสนใจเอาแต่พรรคพวกตัวเอง ไม่ฟังความเห็นใคร จำเป็นต้องขอทวงพรรคคืน

เสธ.หิสวนพรรคเป็นของ ปชช.ไม่คืนให้ใคร

ต่อมาเวลา 14.10 น. นายหิมาลัยโพสต์เฟซบุ๊กอีกครั้ง ตอบโต้นายเสกสกลทวงคืนพรรค รสทช.ว่า ในฐานะ ผอ.พรรค รีบตรวจสอบเพื่อนำเสนอหัวหน้าพรรคตามความต้องการของพี่ 1.พี่ได้ลาออกจากสมาชิกพรรคไปเรียบร้อยแล้ว ปัจจุบันไม่มีสถานภาพเป็นสมาชิกพรรค 2.นายพีระพันธุ์ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคจากการเลือกตั้งอย่างถูกต้อง ตามข้อ บังคับพรรคและระเบียบ กกต. 3.ปัจจุบันพรรคมีสมาชิกถึง 40,000 กว่าคน ได้รับเสียงสนับสนุนเลือกตั้งครั้งหลังสุดถึง 4 ล้านกว่าเสียง ได้รับเงินบริจาคอุดหนุนผ่าน กกต.ห้วงปีที่ผ่านมามากที่สุด จึงเข้าใจได้ว่าพรรค รสทช.เป็นของประชาชนผู้สนับสนุนพรรค ไม่ใช่ของส่วนตัวของผู้ใด ไม่สามารถหาเหตุผลคืน พรรคให้พี่ได้ หากมีหลักฐานอื่นใดที่แสดงว่าพรรค รสทช.เป็นของพี่ กรุณาส่งหลักฐานเพิ่มเติมให้ตนได้ที่พรรคเพื่อจะได้ประมวลเรื่องนำเรียนหัวหน้าพรรคตามขั้นตอนต่อไป

“ศาสตรา” บอกตอนนี้ยังอยู่ รทสช.

เมื่อเวลา 13.00 น. นายศาสตรา ศรีปาน สส.สงขลา เขต 2 พรรค รทสช. 1 ใน สส.พรรค รทสช. ที่ไปร่วมรับประทานอาหารกับนายสุชาติ ชมกลิ่น รมช.พาณิชย์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า ตอนนี้ยังอยู่ที่เดิม ไม่เคยไปไหน พรรค รทสช.เป็น มรดกการทำงานของลุงตู่ มีอุดมการณ์ที่ชัดเจน มี สส. ที่มีคุณภาพ ทำงานให้ชาวบ้าน โดดเด่นตามเจตนารมณ์ของพรรคพร้อมเพื่อทำงานให้บ้านเมืองต่อไป

“จุติ” เตือนสติสามัคคีสู้ศึกนอกก่อน

นายจุติ ไกรฤกษ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรค รทสช. กล่าวถึงปัญหาในพรรค รทสช.ว่า ต้องแยกแยะว่า เป็นปัญหาส่วนรวม หรือไม่พอใจส่วนตัว นายพีระพันธุ์ในฐานะหัวหน้าพรรคทำงานให้ประเทศมากกว่าพรรค ค่าไฟฟ้าไม่ขึ้น ราคาน้ำมันไม่ขึ้น ต้องมีข้อบกพร่อง ไม่ถูกใจ แต่ไม่มีเรื่องทุจริต น่าจะดีใจแทนคนไทย และพิสูจน์กันด้วยผลงาน นักการเมืองมาแล้วก็ต้องไป จะอยู่ในตำแหน่งทำไมถ้าทำประโยชน์ให้ประเทศไม่ได้ ขอให้โฟกัสที่ศึกนอก เป็นภัยต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ การเมือง และสนับสนุน คนสุจริตให้ทำงานเพื่อส่วนรวม ถ้าวันไหน หัวหน้าพรรค รทสช.ทำประโยชน์ให้ตนเอง ให้พรรคพวกมากกว่า ประโยชน์ส่วนรวม ตนจะเป็นคนแรกที่บอกเขาว่า กลับบ้านเถอะ ดังนั้น ขอให้มีสติประเทศไทยต้องมาก่อน ถ้าหลักการเหนือหลักกู ประเทศไทย คนไทยจะยิ้มได้

“ชุติพงศ์” ถามจะเอา “เฮ้ง” เเทน “ขิง” จริงรึ

นายชุติพงศ์ พิภพภิญโญ สส.ระยอง พรรค ปชน. โพสต์เฟซบุ๊กว่า ในฐานะฝ่ายค้านเฉยๆกับข่าวเรื่องการปรับ ครม. เพราะพรรคประชาชนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรด้วยกับเรื่องนี้ ถ้าจะปรับมาแล้วห่วยกว่าเดิมไม่เกี่ยวกับเรา หรือถ้าจะปรับให้ทำงานคล่องตัวขึ้น คงเป็นเรื่องปกติ ที่สำคัญพรรค ปชน.ไม่ได้จะไปร่วมรัฐบาลในสมัยสภาชุดนี้อยู่แล้ว แต่ข่าวการปรับย้ายรัฐมนตรีที่แปลกใจคือกรณีที่มีข่าวมาว่านายกฯอาจจะปรับ ครม.โดยเอานายสุชาติ ชมกลิ่น ที่ สส.ชวาล พลเมืองดี พรรค ปชน.เพิ่งอภิปรายไปว่ามีการติดสติกเกอร์รูปนายสุชาติบนรถขนขยะผิดกฎหมาย เข้ามานั่ง รมว.อุตสาหกรรมแทน นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ อันนี้แหละสงสัยขึ้นมาแล้ว

โฆษก ทบ.จี้ยึดกติกาพื้นที่ทับซ้อน

อีกเรื่อง พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวถึงการแก้ไขปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา บริเวณช่องบก จ.อุบลราชธานี ที่กัมพูชาจะนำขึ้นศาลโลกว่า ยังเป็นคนละเรื่องกันกับปัญหาปัจจุบัน ทำอย่างไรที่อยู่ร่วมกันในพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อน ยังไม่ได้ชี้ชัดควรเป็นดินแดนของใคร ลำดับแรกจึงถอยห่างจากจุดปะทะ ให้คณะ กมธ.ร่วมไทย-กัมพูชาหรือ JBC มาดูการปักปันเขตแดนหรือกฎหมายข้อตกลงต่างๆที่เกี่ยวข้อง พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผบ.ทบ.ไปพูดคุยกับ ผบ.ทบ.กัมพูชา เห็นตรงกัน 3 ประเด็น คือการถอยกำลังออกจากพื้นที่จุดปะทะ ใช้กลไก JBC มาร่วมแก้ปัญหาเขตแดน สนธิสัญญาและข้อปฏิบัติตามเอ็มโอยู จะระมัดระวังดูแลกำลังพลพยายามไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นอีก กติกาที่ทำมาก่อนหน้านี้เส้นที่มีอยู่แล้วของ 2 ประเทศไม่ได้ทับกันได้ เช่น พื้นที่ขุดคูเลต เป็นพื้นที่อยู่ระหว่างนี้ที่เป็นกติกาใช้ร่วมกันมาตลอด โดยไม่ดัดแปลงสภาพภูมิประเทศต้องไม่มีการวางกำลังทางทหาร เอาปืนวางหันหน้าใส่ไทย เราจึงต้องมาร่วมกันรักษากติกาข้อตกลงที่ให้ไว้ต่อกันให้ได้ก่อนไปใช้กลไกอื่นๆ กรณีภาพที่สมเด็จฮุน เซน อ้างน่าจะเป็นพื้นที่ใกล้ศาลามรกต ไม่ใช่พื้นที่ที่จะเกิดเหตุปะทะ สภาพพื้นที่เป็นป่าไม่เคยพบมีชาวบ้านหรือทหาร กพช.มาอยู่ จากหลักฐานภาพถ่ายชัดเจน เหมือนเพิ่งมาขุดคูเลตกันไม่นาน ไม่ใช่ขุดอยู่กัน 30-40 ปีที่แล้วแน่ๆ

ผบ.ขกท.ปลุกหน่วยข่าวพร้อมรบ

พล.ต.ธีรนันท์ นันทขว้าง ผบ.หน่วยข่าวกรองทางทหาร (ขกท.) สั่งการให้กองพันข่าวกรองทางทหาร ตรวจสภาพความพร้อมรบของกองร้อยข่าวกรองทางทหาร เตรียมความพร้อมกำลังพล อาวุธ ยุทโธปกรณ์ และยานพาหนะ ให้พร้อมรองรับภารกิจจาก ทบ. โดยกองร้อยข่าวกรองทางทหาร มีภารกิจหลักรวบรวมข่าวสารและเฝ้าตรวจสนามรบ สนับสนุนให้แก่หน่วยดำเนินกลยุทธ์ โดย พล.ต.ธีรนันท์ให้โอวาท กำลังพลตอนหนึ่งว่า “พวกเราคือ กองอาทมาต ที่สืบสานการทำหน้าที่ มาตั้งแต่โบราณกาล ขอให้เราภูมิใจ ในการเป็นทหารการข่าว ทำหน้าที่รวบรวมข่าวสาร ในอดีตกองอาทมาตมีความสามารถในการสอดแนม จารกรรม รวบรวมข่าวสาร มีคาถาอาคม วันนี้ถึงแม้เราไม่มีคาถาอาคม แต่เรามีเครื่องมือพิเศษ มีระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่มีความทันสมัย เพราะฉะนั้นพวกเราคือ หู และตา แห่งสนามรบ ขอพวกเราเป็นตาที่คมเหมือนเหยี่ยว เป็นหูที่ไวเหมือนนกเค้าแมว” พร้อมได้เน้นย้ำให้มีความพร้อมอยู่เสมอ สามารถปฏิบัติภารกิจได้ทันทีเมื่อได้รับคำสั่งจากกองทัพบก

“นายกฯ-ภูมิธรรม” เบรกกองทัพปิดด่าน

ผู้สื่อข่าวรายงานจากกองทัพบกว่า รัฐบาลขอให้กองทัพใช้ความอดทนอดกลั้นต่อสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา หลังพบว่ากัมพูชาเพิ่มกำลังทหารและอาวุธหนักเข้าพื้นที่ช่องบกจำนวนมาก พื้นที่ที่ต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิ์และล้ำเข้ามาฝ่ายไทย พร้อมหันกระบอกปืนใหญ่เข้าหาฝ่ายไทย กองทัพได้แจ้งไปยังรัฐบาลจุดที่ทหารกัมพูชารุกล้ำเข้ามาเป็นพื้นที่ฝ่ายไทย ทำให้ไม่สบายใจ จึงขอประกาศปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชาตลอดแนว เพื่อกดดันและตอบโต้ทางฝ่ายกัมพูชา หากนิ่งเฉยเท่ากับเป็นการยอมรับ แต่รัฐบาลขอให้กองทัพอย่าเพิ่งดำเนินการใดๆ กังวลว่าจะกระทบการค้าขายตามแนวชายแดน ซ้ำเติมวิกฤติเศรษฐกิจภายในประเทศไทย อีกทั้ง ขณะนี้กำลังจะมีการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม หรือ JBC ไทย-กัมพูชา ภายหลังมีกระแสข่าวไทยเตรียมปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา พล.อ.เตีย เซ็ยฮา รองนายกฯ และ รมว.กลาโหมกัมพูชา โทร.หานายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ร้องขออย่าให้ไทยปิดด่าน นอกจากนี้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ ได้ให้นายภูมิธรรมมาพูดคุยกับกองทัพ

“ภูมิธรรม” ปัดรัฐบาลขัดแย้งกองทัพ

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯและ รมว.กลาโหม โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวกรณีมีกระแสข่าวความขัดแย้งระหว่างฝ่ายการเมืองกับฝ่ายทหารในการจัดการปัญหาชายแดน ไทย-กัมพูชา เนื้อหาสรุปว่า ตนกับกองทัพหารือกันหลายครั้งเห็นตรงกันว่า สถานการณ์ปัจจุบันรัฐบาลทั้งสองประเทศต่างพยายามคลี่คลายวิกฤติ โดยยึดผลประโยชน์ประชาชนและอธิปไตยของชาติเป็นสำคัญ เราจึงพยายามลดเงื่อนไขไม่ให้ความขัดแย้งขยายตัวมากไปกว่านี้ เรื่องการปิดชายแดนรัฐบาลเห็นว่าท่าทีและการแสดงออกของทั้งสองประเทศ ยังเป็นการแสดงออกที่ลดระดับความรุนแรงได้ การปิดด่านชายแดนแม้ไม่ใช่การสู้รบทางตรง แต่จะเกิดปัญหาทางด้านเศรษฐกิจจะกระทบกับวิถีชีวิตประชาชน ทำให้ยากต่อการคลี่คลาย แต่ขณะเดียวกันกองทัพตั้งอยู่ในความระมัดระวัง ไม่ได้ละเลยในการปกป้องตนเองและอธิปไตยเหนือดินแดน ขณะนี้รัฐบาลร่วมกับกำลังเหล่าทัพและกระทรวงต่างประเทศ กำลังใช้กลไก JBC แก้ไขปัญหาตามขั้นตอนอยู่ จึงขอเรียนชี้แจงยืนยันว่ารัฐบาลและกองทัพมีความเป็นเอกภาพ และมีพันธะสัญญาที่มั่นคงในการรักษาความสงบสุข เราจะหลีกเลี่ยงการยกระดับความขัดแย้งที่จะนำไปสู่ความสูญเสีย

“ฮุน มาเนต” ร้องศาลโลกพิพาทพรมแดน

วันเดียวกัน พล.อ.ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา กล่าวระหว่างการประชุมร่วมรัฐสภาว่า รัฐบาลกัมพูชาจะยื่นร้องเรียนต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ในกรุงเฮก เนเธอร์แลนด์ ในเรื่องข้อพิพาทพรมแดนกับไทย และต่อให้ทางการไทยไม่เห็นด้วย กัมพูชาจะยื่นเรื่องร้องเรียนต่อศาลไอซีเจ อยู่ดี เหตุการณ์ปะทะที่เกิดขึ้นเมื่อสัปดาห์ก่อนถือเป็นการละเมิดอธิปไตยของกัมพูชา รัฐบาลกัมพูชามุ่งมั่นที่จะคลี่คลายปัญหาผ่านช่องทางการทูตและสันติวิธี หวังว่าฝ่ายไทยจะตกลงร่วมกันในการนำเรื่องเข้าสู่กระบวนการศาลไอซีเจ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการ เผชิญหน้าขึ้นอีกจากความไม่ชัดเจนในเรื่องของพรมแดน

อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่