“อัครเดช” เสนอเสริมงบติดอาวุธให้กระทรวงอุตสาหกรรมกำจัดสารพิษปนเปื้อน แนะนำโครงการประกันรายได้เกษตรกรกลับมาใช้แก้ปัญหาราคาข้าวตกต่ำ “เอกนัฏ” ลั่นเอาผิดหมดไม่สนหน้าไหน จ่อชง พ.ร.บ. แก้ระยะยาว


วันที่ 31 พฤษภาคม 2568 นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) จังหวัดราชบุรี เขต 4 พรรครวมไทยสร้างชาติ อภิปรายร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ว่า มีข้อสังเกตที่จะเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชนเพื่อให้รัฐบาลได้รับไปดำเนินการ รวมถึงคณะกรรมาธิการวิสามัญได้รับไปพิจารณาในวาระที่ 2 เพื่อประโยชน์ของชาติเป็นหลัก

ประเด็นที่ 1 การจัดการกากของเสียอุตสาหกรรมนั้น ตนในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม ได้รับทราบความเดือดร้อนของประชาชน ซึ่งเป็นหนึ่งในเรื่องที่ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมได้ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก จากการจัดทีมสุดซอยเพื่อจัดการกับโรงงานอุตสาหกรรมที่มีการจัดการกากของเสียที่ผิดกฎหมาย และในพื้นที่จังหวัดราชบุรีก็มีโรงงานรับกำจัดกากอุตสาหกรรมแห่งหนึ่ง ซึ่งที่ผ่านมาได้จัดการของเสียแบบไม่ถูกต้องตามกฎหมายและหลักวิชาการไม่ว่าจะเป็นการลักลอบเผา หรือฝังกลบอย่างผิดวิธี ซึ่งในช่วงที่นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้มีการลงพื้นที่และดำเนินการกับโรงงานดังกล่าว

...

ปัจจุบันได้มีการจัดการกับกากของเสียบนผิวดินเรียบร้อยแล้ว โดยมีการใช้งบประมาณเกือบ 100 ล้านบาท แต่ปัญหาสารเคมีปนเปื้อนใต้ดินยังคงเป็นปัญหาและส่งผลกระทบกับพี่น้องประชาชนเป็นอย่างมาก เนื่องจากน้ำทั้งบนผิวดิน และใต้ผิวดินมีการปนเปื้อนกับสารพิษจากกากอุตสาหกรรม จึงเสนอให้ทางรัฐบาลได้มีการจัดสรรงบประมาณให้กับกระทรวงอุตสาหกรรมภายใต้การนำของนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ให้เพียงพอ เพื่อเป็นการติดอาวุธให้กับการจัดการกากอุตสาหกรรม ซึ่งปัจจุบันได้มีการจัดสรรงบประมาณเพียงประมาณ 100 ล้านบาทซึ่งไม่เพียงพอต่อการจัดการ เพราะปัญหานี้ได้กระจายไปหลายพื้นที่ หลายจังหวัด และส่งผลกระทบกับพี่น้องประชาชนเป็นวงกว้าง

ประเด็นที่ 2 จากการได้ลงพื้นที่พบปะพี่น้องเกษตรกรผู้ปลูกข้าวในหลายพื้นที่โดยเฉพาะอำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ได้รับทราบว่ามีปัญหาราคาข้าวตกต่ำเป็นอย่างมาก ซึ่งในสมัยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มีการขอจัดสรรงบประมาณสำหรับการแก้ไขปัญหานี้ผ่านโครงการประกันรายได้พี่น้องชาวนา โดยไม่แทรกแซงกลไกราคาข้าวในตลาด คือการอุดหนุนส่วนต่างราคาตรงให้แก่เกษตรกรผ่านธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) ยกตัวอย่าง ชาวนาขายข้าว 1 ตันให้โรงสีราคา 8,000 บาท ทางรัฐบาลจะอุดหนุนส่วนต่างจากการประกันรายได้ที่ 10,000 บาท คือ 2,000 บาทให้แก่เกษตรกรโดยตรงผ่าน ธกส. จึงขอเสนอให้รัฐบาลได้มีการจัดสรรงบประมาณเพื่อจัดทำโครงการประกันรายได้ เพื่อแก้ไขปัญหาเบื้องต้นให้แก่พี่น้องชาวนาไทยที่ราคาข้าวตกต่ำสวนทางกับต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น

ต่อมา นายเอกนัฏ ชี้แจงว่า เห็นตรงกับข้อเสนอแนะของทุกท่านว่ากากอุตสาหกรรมคือปัญหาใหญ่ และเป็นปัญหาสำคัญของประเทศชาติ ซึ่งเรากำลังพูดถึงการปฏิรูปการสร้างอุตสาหกรรมเศรษฐกิจยุคใหม่ ต้อนรับนักลงทุนดีๆ เข้ามาลงทุนในประเทศ แต่สิ่งที่สะเทือนภาพลักษณ์ประเทศและสังคมโลก คือภาพของกองขยะขนาดมหึมา ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงจุดนี้จุดเดียว ตนให้ความสำคัญมาก และคิดจะทำอุตสาหกรรมยุคใหม่ สร้างการลงทุนที่เป็นเม็ดเงินการลงทุนในธุรกิจดีๆ เข้ามา เราต้องกำจัดพิษ และไล่พิษ เพื่อกำจัดธุรกิจเหล่านี้ที่สร้างภาพลักษณ์ที่ไม่ดีกับประเทศไทยออกไป ขอให้พี่น้องประชาชนเชื่อมั่นว่าการทำธุรกิจประกอบอุตสาหกรรมต้องไม่ส่งผลกระทบต่อชีวิต และทรัพย์สินของประชาชน พร้อมขอบคุณเพื่อนสมาชิกที่ยกเรื่องดังกล่าวขึ้นมา เพราะถ้าไม่พูดก็คงไม่เห็นปัญหาเหล่านี้ งบประมาณก็คงไม่ได้ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นก็น่ารันทดจริงๆ

“ผมสงสารประเทศ ผมสงสารกระทรวง บางทีผมก็สงสารตัวเอง ย้อนกลับไปดูตลอด 3-4 ปีที่ผ่านมา เมื่อปี 2566 เราไม่เคยจัดสรรงบประมาณสำหรับจัดการสิ่งเหล่านี้ไว้เลย จนกระทั่งมาปี 67 ยุคท่านรัฐมนตรีพิมพ์ภัทรา ก็ได้เริ่มเห็นความสำคัญ ตั้งงบไว้ 15 ล้านเท่านั้นเอง ซึ่งมูลค่าของปัญหาหลายขนาดรวมกันมูลค่าเป็นพันล้าน ก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย มาปี 68 เราก็เพิ่มจาก 15 ล้านเป็น 18 ล้าน เพิ่มมาอีก 2 ล้านน่าดีใจมาก”

ต้องขอขอบคุณนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ให้ความสำคัญในเรื่องนี้ เพราะตนสู้เรื่องนี้มาตลอด ไปแถลงการณ์ต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อม ตนก็ใช้โอกาส ใช้ทุกวินาที ทุกเวทีในการพูดเรื่องนี้ ให้สาธารณะ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นปัญหาถึง และความสำคัญของเรื่องนี้ จนกระทั่งปีงบประมาณปี 69 เราได้งบประมาณเพิ่มเติมให้กับกรมโรงงานเพิ่มขึ้นเกือบ 10 เท่า จาก 17 ล้านบาท เป็น 140 ล้านบาท และมีการผูกพันงบประมาณไปในปีหน้าอีกกว่า 400 ล้านบาท จึงขอให้สบายใจว่า งบประมาณมีเพิ่มขึ้น และมีผูกพันไปถึงอนาคต และปัญหาที่เราพบจะได้รับการแก้ไข

“เราต้องระมัดระวัง ไม่ให้การนำงบประมาณภาษีของประชาชน นำไปใช้ที่เหมือนเป็นการอุดหนุนจุนเจือกับกลุ่มธุรกิจสีเทาเหล่านี้ เพราะกลายเป็นว่าแทนที่เราจะนำเงินไปอุดหนุนเกษตรกร ถ้าเขาทำตัวไม่มีความรับผิดชอบ และเอาเงินพี่น้องประชาชนยากลำบากจากภาษีของประชาชนไปให้เขา โดยที่เขาไม่จัดการกับปัญหาของเขาเอง เท่ากับเป็นการไปจุนเจืออุดหนุนกลุ่มธุรกิจเหล่านี้ ฉะนั้นผมให้ความสำคัญกับการจับกุมปราบปรามกลุ่มสีเทาเหล่านี้มาก”