“ปารมี ไวจงเจริญ” ชี้ กยศ.ถังแตกแน่ จัดงบขายผ้าเอาหน้ารอด ยก 2 ปม สะท้อนกองทุนมีปัญหา ทั้งหักเงินเพิ่ม 3,000 บาท ปรับเกณฑ์การกู้เงินของนักศึกษาใหม่ ชง 3 ทางแก้ จี้รัฐเร่งทำ อย่าปล่อยเด็กยืนบนปากเหว

วันที่ 30 พ.ค. 2568 เมื่อเวลา 10.35 น. นายปารมี ไวจงเจริญ หรือ ครูจวง สส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชน กล่าวอภิปรายในส่วนของกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ว่า ถ้ารัฐบาลจัดงบประมาณแบบนี้ กยศ. ถังแตกแน่ เมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา เกิดข่าวใหญ่ฮือฮาไปทั่วกรณี กยศ. จะหักเงิน 3,000 บาทกับผู้กู้ที่เคยค้างชำระหนี้ จนเกิดเสียงซุบซิบนินทาไปทั่วว่า กยศ.และรัฐบาลกำลังถังแตกไม่มีเงิน ถึงต้องมารีดเลือดจากผู้กู้เงินกองทุน กยศ. พอดูงบฯ 69 ของรัฐบาล ยืนยันว่า กยศ. จะยิ่งถังแตกหนักมากขึ้นไปอีก ยิ่งพิสูจน์ว่ารัฐบาลกำลังปล่อยให้นักเรียนนักศึกษาไทยที่รอความหวังเงินกู้กยศ. ยืนอยู่บนปากเหวอย่างเดียวดาย เมื่อย้อนไปดูงบฯ ที่รัฐบาลจัดให้กยศ.ในรอบ 2-3 ปีที่ผ่านมา การไร้ความจริงใจของรัฐในการแก้ไขปัญหา กยศ. เช่น งบฯ ปี 67 กยศ.ขอรับงบฯ 5,000 ล้านบาทแต่รัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน ขณะนั้นไม่ให้แม้บาทเดียว โดยกยศ.มีภาระต้องปล่อยกู้ 49,633 ล้านบาท พอมางบฯ ปี 68 กยศ.ของบฯ สูงถึง 19,000 ล้านบาท รัฐบาลจัดให้ตอนแรก 800 ล้านบาท และได้การแปรญัตติเพิ่มเป็น 7,410 ล้านบาท แต่กยศ. ต้องปล่อยกู้ 40,812 ล้านบาท จะพอได้อย่างไร พอมางบฯ ปี 69 กยศ. ของบมา 21,900 ล้านบาท แต่รัฐบาลจัดสรรไปให้แค่ 5,100 ล้านบาท คิดเป็น 23.3% จะพอกับจำนวนนักเรียนนักศึกษา 630,654 คน ที่กำลังรอคอยความหวังจากเงินกู้ กยศ. หรือไม่ การที่รัฐบาลจัดงบฯ 69 ให้ กยศ.แบบนี้ สิ้นปี 69 กยศ.จะขาดสภาพคล่องรุนแรงแน่นอน ถึงขั้นถังแตกแบบสุดๆ ไปเลย จะทำให้ กยศ. มีเงินติดลบถึง 16,708 ล้านบาท

...

นายปารมี กล่าวว่า มาวันนี้จะไม่มีใครเชื่อลมปากรัฐมนตรีแล้ว ผู้กู้และนักเรียนที่รอเงินกู้อยู่เลิกหวัง หมดความเชื่อมั่นในรัฐบาลหมดแล้ว สะท้อนว่าฐานะทางการเงินของ กยศ.กำลังมีปัญหารุนแรงถังแตกแน่ มีหลักฐานจาก 2 เหตุการณ์คือ 1.) การสั่งรีดเลือดจากผู้กู้ ด้วยการหักเงินเพิ่ม 3,000 บาท ครั้งใหญ่สาเหตุที่กยศ.ต้องทำแบบนี้ ชัดเจนว่า เงินสดร่อยหรอ ไม่รู้จะเอาที่ไหน ก็ประกาศเรียกเก็บเงิน 3,000 บาทจากผู้กู้ที่เคยค้างชำระแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ไม่แจ้งผู้กู้ แต่แจ้งนายจ้างผู้กู้ คนรับกรรมคือผู้กู้ ที่รัฐบาลเป็นคนก่อขึ้น แม้นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.การคลัง ได้สั่งชะลอการเก็บเงินเพิ่ม 3,000 บาท ออกไปก่อน จึงสงสัยมากว่า ทำไมรัฐบาลความรู้สึกช้าเป็นเดือน ทั้งที่ผู้กู้ที่ถูกให้ชำระ 3,000 บาทเรียกร้องระงมทั้งประเทศให้รัฐบาลแก้ปัญหานี้มาเป็นเดือนแล้ว แต่เพิ่งประกาศชะลอการเก็บเงินเพิ่ม ชี้ชัดว่ารัฐบาลแก้ไขปัญหา กยศ.แบบสะเปะสะปะ ขายผ้าเอาหน้ารอดไปวันๆ ไม่ได้แก้ทั้งระบบลงลึกถึงสาเหตุที่แท้จริงของปัญหา 2.) ปี 68 เป็นปีแรกที่กยศ.เปลี่ยนหลักเกณฑ์การกู้เงินของนักศึกษาใหม่ ในสาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพ เช่น ทันตแพทย์, เภสัชกร, พยาบาล จากเดิมที่สาขานี้เคยกู้ตามหลักเกณฑ์ผู้กู้ และสาขาที่เป็นความต้องการหลักของประเทศ แต่ กยศ.เปลี่ยนไปเป็นผู้กู้ลักษณะที่ 1.คือนักเรียนนักศึกษาที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ ทำให้เกิดผลกระทบ 2 อย่าง คือ นักศึกษาสาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพเหล่านี้จะต้องมีบางคน ไม่สามารถกู้เงินจาก กยศ.ในปี 69 เพราะนักศึกษาใหม่ที่จะมากู้ตามหลักเกณฑ์ใหม่นี้ จะต้องยากจนขาดแคลนทุนทรัพย์เท่านั้น จะทำให้มีคนที่ตกหล่นไม่ได้รับการกู้จำนวนมากแน่ การจัดงบรัฐบาลแบบนี้ เหมือนรัฐบาลกำลังปล่อยให้พวกเขายืนลำพังบนปากเหว จะหล่นลงไปในก้นเหวเมื่อไหร่ก็ไม่รู้

“ตนจึงเสนอ 3 ข้อต่อรัฐบาลคือ 1.รัฐบาลจะต้องจัดสรรงบให้กับ กยศ.อย่างเพียงพอ อย่างน้อยปีละ 22,000 ล้านบาท 2.กยศ.ต้องแก้ปัญหาการบริหารจัดการระบบให้มีประสิทธิภาพ ทั้งประเด็นการคำนวณหนี้ใหม่ของผู้กู้ทุกราย ต้องเชิญชวนผู้กู้ให้เข้ามาปรับโครงสร้างหนี้ และเร่งคืนเงินให้ผู้กู้ ที่ปรับโครงสร้างหนี้เสร็จแล้ว 3.กยศ.ต้องเร่งปรับปรุงระบบ กยศ.ดิจิทัล DSL ที่ กยศ.เพิ่งคัดเลือก ในวงเงิน 345 ล้านบาท ให้วางระบบ DSL นี้ ให้เสร็จตามกำหนดภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2569 เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้กู้ทุกราย สำคัญที่สุด กยศ.ต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับคนไทยว่า กยศ.มีประสิทธิภาพ และมีความโปร่งใสในการทำงาน เพราะเงินกู้ กยศ.คือทางรอด คือการต่อลมหายใจ เพื่อให้พวกเขาได้เรียนหนังสือต่อไป ท่ามกลางพิษเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ และการศึกษาไทยที่ไม่ได้ฟรีจริง แต่มีค่าใช้จ่ายมากมาย จึงขอให้รัฐบาลเร่งแก้ปัญหา กยศ. ถึงต้นเหตุที่แท้จริง และแก้อย่างยั่งยืนเป็นระบบเสียที” นายปารมี กล่าว