ประชุมสภาฯ งบประมาณ 2569 วันแรก “พิชัย” สวน “เท้ง” ทันควัน มั่นใจ GDP ไทยปี 2569 เก็บเงินได้ตรงเป้า ยันรัฐบาลทำงบฯ ขาดดุล 2 ปีซ้อนถูกทางแล้ว เน้นแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง หนุนภาคเอกชนฟื้นความเชื่อมั่น หวังแก้วิกฤติเศรษฐกิจ

เมื่อเวลา 17.55 น. วันที่ 28 พฤษภาคม 2568 นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ลุกขึ้นชี้แจงกรณีนายณัฐพงศ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชนในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ว่า ตนก็กังวลในฐานะคนไทยคนหนึ่ง แต่ก็เข้าใจสถานการณ์ และคิดว่าปัญหาที่เราเห็นทุกวันนี้ต้องแก้ไขให้ได้ ทุกคนอยากเห็นประเทศไทยกินดีอยู่ดี มีการใช้จ่ายที่เติบโต ทำให้ช่องว่างระหว่างคนจนและคนรวยแคบลง โดยโครงสร้างเศรษฐกิจของไทยในอดีต ช่วงที่จีดีพี 6-10% หรือในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา หน้าที่ของภาครัฐไม่มีหน้าที่ในการลงทุนและส่งออก ต้องทำให้โครงสร้างต่างๆ มีความพร้อมเพื่อเพิ่มความสะดวกสบาย และลดค่าใช้จ่ายให้กับภาคเอกชน

ในช่วงนั้นการลงทุนทั้งหมดมีประมาณ 40% บวกลบของจีดีพี การลงทุนของภาคเอกชนสูง แต่วันนี้การลงทุนในไทยหายไปกว่า 50% การลงทุนจากภาคเอกชนหายไป ผู้นำหายไป มองไม่เห็นการส่งออก ไม่เกิดการจ้างงาน สินค้าหรือบริการที่เราส่งออกมีคุณค่าน้อย โดยเฉพาะภาคการเกษตร สินค้าบางอย่างในราคา 100 บาท ต้นทุนอาจอยู่ที่ 90-100 บาทด้วยซ้ำ ถือเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างในการลงทุนภาคเกษตรกรรม

...

“การขาดดุลของเราขาดดุล 850,000 ล้านบาท ติดกัน 2 ปี หากมองจากมุมมองข้างนอกก็สูง เพราะขาดดุลกว่า 4% ซึ่งปกติไม่ควรเกิน 3.25-3.5% ในเงินจำนวนนี้ มีการคืนเงินต้นอยู่ด้วย 150,000 ล้านบาท โดยเมื่อหักลบกันแล้วเราก็ขาดดุลอยู่ประมาณ 3% กว่า ผมกำลังดูอยู่ว่า ในข้างหน้ามีการปรับการขาดดุลทุกปี ในปีนี้เรามีงบรายจ่ายประจำที่พยายามลดให้ได้ ส่วนใหญ่เป็นงบประมาณผูกพันกับงบข้าราชการ ซึ่งเป็นเรื่องที่เรื้อรังมายาวนาน ในทางปฏิบัตินำหนี้เหล่านี้มารวมในหนี้สาธารณะทั้งหมด แม้จะมีเหตุการณ์ที่เปลี่ยนไปมีการตั้งเป้าจีดีพีให้เกิน 3% แต่ในวันนี้ก็มีการปรับลงมา ผมคาดว่าในปีนี้การเก็บรายได้ของเราน่าจะอยู่ในเป้าหมาย ฉะนั้นเงินขาดดุลคงคลังคาดว่ามากกว่าเดิม ยืนยันว่ามีการปรับหลายอย่างเพื่อเดินไปข้างหน้า การทำงบฯ ปี 2569 ทำตามพื้นฐานเดิม จึงขอให้ สส. ช่วยกันดูแลงบฯ ให้ละเอียด เราสามารถจัดสรรเพื่อแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างได้”

นายพิชัย กล่าวอีกว่า สิ่งต่างๆ ที่เสนอขึ้นมานี้ในพื้นที่ทั้ง สส.เขต และเจ้าหน้าที่เคยเสนอขึ้นมา ส่วนใหญ่มากกว่า 90% อยู่ในส่วนที่สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมใส่ไว้ในตะกร้าแล้ว ตนดูแล้วมีจำนวนถึง 4 ล้านล้านบาท บางโครงการเป็นระยะยาว ระยะปานกลาง ปัญหาคือต้องมีการแก้ระบบน้ำ ระบบไฟ และการขนส่ง, คมนาคมอย่างถาวร เช่นเดียวกับเรื่องการท่องเที่ยวที่ต้องเปลี่ยนวิธี เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของนักท่องเที่ยว ตนเชื่อว่าการเปลี่ยนงบประมาณเหล่านี้ จะสนับสนุนให้ภาคเอกชนเกิดความรู้สึกเชื่อมั่นและมั่นใจในการลงทุนในอนาคต เชื่อว่างบประมาณนี้เป็นตัวเริ่มต้นจากสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนไป เราจึงต้องปรับเปลี่ยนใหม่ให้โครงสร้างเศรษฐกิจพึ่งพาภายในประเทศมากยิ่งขึ้น และต้องแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างที่แก้ได้จากงบประมาณรัฐ มาตรการการลงทุนผ่านกองทุนของเอกชน โดยเอกชนลงทุนส่วนหนึ่งและรัฐลงทุนอีกส่วนหนึ่ง