เลขาธิการ ป.ป.ส. แจงเชิญ “ทักษิณ ชินวัตร” ปาฐกถาพิเศษ ชี้ เป็นโอกาสดีได้ฟังแนวทางปราบยาเสพติดจนไทยประกาศชัยชนะได้ในสมัยนั้น หากดีนำไปพัฒนาต่อ แจงคนเกริ่นเชิญคือ “พ.ต.อ.ทวี”

เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 26 พฤษภาคม 2568 พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด กล่าวถึงกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการติดตาม เร่งรัดการดำเนินงานป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติด (ครส.) กำหนดจัดการประชุมคณะกรรมการ ครส. ครั้งที่ 3/2568 ในวันที่ 27 พฤษภาคม 2568 เวลา 13.30-16.30 น. ที่ห้องประชุมชิดชัย วรรณสถิตย์ อาคาร 2 ชั้น 3 สำนักงาน ป.ป.ส. และมีการเชิญ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เข้าร่วมเป็นเกียรติกล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “ยาเสพติด อาชญากรรมข้ามชาติ มุมมอง และความท้าทาย ต่อการแก้ไขปัญหา อย่างยั่งยืน”

พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ ระบุว่า ส่วนตัวในฐานะที่เป็นเลขาธิการ ป.ป.ส. และตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 12 สำนักงาน ป.ป.ส. นอกจากจะมีหน้าที่กำหนดนโยบาย หรือเป็นฝ่ายเสนาธิการให้รัฐบาลในการแถลงนโยบาย เรายังมีหน้าที่ในการติดตามและประเมินผล ซึ่งการทำงานต้องมีการปรับปรุง แก้ไข พัฒนาอยู่ตลอด ซึ่งหลักของตนยึดอยู่ 3 คำนี้ เนื่องจากกลไกของรัฐที่เราขับเคลื่อน ไม่ว่าจะเป็นการ STOP (สต็อป) SEAL (ซีล) SAVE (เซฟ) การเอกซเรย์พื้นที่ ทำพื้นที่ 12 จังหวัดให้ประชาชนเกิดความปลอดภัย ความสุข นี่คือกลไกของรัฐที่ขับเคลื่อนในขณะนี้

อย่างไรก็ดี เมื่อขับเคลื่อนไปสักระยะหนึ่ง หรือระยะ 6 เดือน ถามว่าเราต้องปรับปรุง แก้ไข พัฒนาหรือไม่ ก็ต้องทำ ตนเชื่อว่า นายทักษิณ นอกจากจะเป็นที่ปรึกษาประธานอาเซียนแล้ว ตนยังเชื่อในองค์ความรู้ของท่าน เพราะในสมัยที่ท่านเป็นนายกรัฐมนตรี ท่านอายุ 51 ปี ซึ่งตนน่าจะอายุประมาณ 29-30 ปี ฉะนั้น ตนเชื่อว่าผู้บริหารขณะนี้ที่รุ่นเดียวกับตน ไม่ว่าจะเป็นอธิบดีหรือปลัดกระทรวงก็อายุเท่ากับตน คงไม่มีใครรู้ดีว่าการแก้ไขปัญหายาเสพติดเมื่อเกือบ 30 ปีที่แล้วประเทศไทยเราสามารถแก้ไขปัญหายาเสพติดได้ แล้วเราก็ประกาศชัยชนะเรื่องการแก้ไขปัญหายาเสพติด ถ้าเราเปิดใจรับฟัง เปิดข้อมูลและเอาเจ้าหน้าที่มารับฟังว่าแนวทางการแก้ไขปัญหายาเสพติดเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ทำอย่างไรถึงทำให้การแก้ไขปัญหายาเสพติด ทำให้ประเทศไทยชนะปัญหายาเสพติดได้ เราต้องรับฟัง พอเรารับฟังแล้วอันไหนเราสามารถปรับปรุงได้ เรานำไปปรับปรุง อันไหนเราแก้ไขได้ก็แก้ไข อันไหนที่เราเห็นว่าดี เราก็นำไปพัฒนาต่อ

...

เลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวต่อไป ตนถือว่าในวันพรุ่งนี้ (27 พฤษภาคม) ที่อดีตนายกรัฐมนตรีจะมากล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่องยาเสพติด อาชญากรรมข้ามชาติ และการแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างยั่งยืน เป็นคุณประโยชน์ ตรงนี้ตนมองในแง่การเป็นข้าราชการประจำ ถือว่าเป็นคุณประโยชน์ที่เจ้าหน้าที่ ป.ป.ส. และกรรมการที่อยู่ในคณะกรรมการติดตาม เร่งรัดการดำเนินงานป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติด จะได้ตักตวงองค์ความรู้ซึ่งเราไม่มีโอกาสได้รู้ว่าเมื่อ 30 ปีที่แล้วเขาแก้ไขปัญหายาเสพติดกันอย่างไร เราจะได้นำมาปรับปรุง แก้ไข พัฒนากลไกของรัฐในการแก้ไขปัญหายาเสพติดในอีก 6 เดือนข้างหน้า

หวังฟังวิธีปราบยาเสพติดจาก “ทักษิณ”

ส่วนกรณีว่าจะมีการนำเอานโยบายประกาศสงครามยาเสพติดมาปรับใช้อย่างไรหรือไม่นั้น ยังไม่ทราบว่าพรุ่งนี้ นายทักษิณ จะพูดในเรื่องการแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างไร เพราะรู้เพียงว่าในสมัยท่านมีการประกาศสงครามยาเสพติด แต่ตนไม่รู้ว่าคำดังกล่าวในสมัยท่านและสมัยของตนเหมือนกันหรือไม่ เพราะสมัยของตนไม่ได้ใช้คำว่าประกาศสงครามยาเสพติด แต่เราใช้คำพูดเรื่องเอกซเรย์พื้นที่ จะต้องทำให้ประชาชนหรือชุมชนลุกขึ้นมาต่อสู้กับปัญหายาเสพติด เพราะเราเห็นว่าปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาร่วมกันที่กระทบต่อความมั่นคง คำพูดที่แตกต่างกันแต่เป้าหมายเหมือนกัน ดังนั้น วิธีการอาจจะแตกต่างกันก็ได้ จึงต้องลองฟังดูว่าท่านจะแนะนำหรือพูดอย่างไร เพราะเราอาจจะได้แนวคิดดีๆ จากวันพรุ่งนี้ก็ได้

สำหรับการปาฐกถาพิเศษในวันพรุ่งนี้ พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ เผยว่า จริงๆ แล้วเป็นการประชุมของ ครส. ซึ่งเป็นกลไกหนึ่งของรัฐบาล โดยประธานของคณะกรรมการชุดนี้คือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ส่วนรองประธานคนที่หนึ่ง คือ นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และรองประธานคนที่สอง คือตนในฐานะเลขาธิการ ป.ป.ส. ดังนั้น ดำริในการเชิญอดีตนายกฯ ทักษิณ มาปาฐกถาเป็นในส่วนของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แต่ตนในฐานะหัวหน้าหน่วยงานก็มีการทำหนังสือเชิญท่าน ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมอาจจะเป็นผู้ไปนำเกริ่นขอให้ท่านมาแสดงปาฐกถาพิเศษใหม่ๆ ให้กับคนอย่างรุ่นของตน ซึ่งพวกเราไม่รู้ว่าเมื่อ 30 ปีที่แล้วท่านแก้ไขปัญหายาเสพติดกันอย่างไร แต่การเชิญก็เชิญในฐานะหน่วยงาน

ผู้สื่อข่าวถามว่าท่ามกลางกระแสการเมืองค่อนข้างแรงในช่วงนี้มีความกดดันหรือไม่ พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ ตอบว่า ตนเป็นข้าราชการประจำไม่มีความกดดันอะไร ขอเรียนว่าสำนักงาน ป.ป.ส. มีหน้าที่รายงานติดตามประเมินผล ซึ่งช่วงหนึ่งเราทำมาแล้ว แต่ทำแล้วก็อยากรู้ว่าสิ่งที่เราทำมามันควรต้องปรับปรุง แก้ไข พัฒนาอะไรบ้าง ฉะนั้น การรับฟังผู้ที่มีประสบการณ์ที่เคยทำสำเร็จแล้ว และรับฟังท่าน มันอาจเกิดประโยชน์หรือแนวคิดใหม่ๆ ที่จะนำไปปรับปรุง แก้ไข พัฒนากลไกของรัฐในการแก้ไขปัญหายาเสพติดให้เกิดผลสำเร็จได้ยืนยันว่าตนเป็นข้าราชการประจำ ไม่ได้รู้เรื่องการเมือง มองว่ามันเป็นคุณประโยชน์มากกว่าที่จะได้รับฟังแนวทางการแก้ไขปัญหายาเสพติดในสมัย 30 ปีที่แล้วว่าท่านแก้ไขอย่างไรจึงประสบความสำเร็จ ทั้งนี้ ท่านคอนเฟิร์มว่าจะมาปาฐกถาแน่นอนตนยืนยันได้

อะไรฟังแล้วไม่ดี ฝ่าฝืนกฎหมาย เราก็ไม่ทำ

เมื่อถามอีกว่าในสมัยนั้นมีการแก้ไขปัญหายาเสพติดด้วยการตัดตอน พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ กล่าวว่า ตนเห็นมีแต่พูดกันว่ามีการตัดตอน ก็ไม่รู้ว่าท่านทำอย่างไร ตอนนั้นตนยังอายุเพียง 29-30 ปีเท่านั้น ยังเด็กอยู่ เชื่อว่าอธิบดีและปลัดกระทรวงหลายท่านมาร่วมก็คงไม่รู้ เพราะเราเคยได้ยินแต่ว่าใช้ประกาศสงคราม ตัดตอน เราอยากฟังจากปากท่านว่าจริงๆ แล้วท่านแก้อย่างไร ท่านเป็นนายกฯ ที่ตนขอใช้คำพูดนี้เลยว่าสามารถประกาศชัยชนะกับสงครามยาเสพติดได้ คงต้องมีสิ่งดีๆ เกิดขึ้น ดังนั้น อะไรฟังแล้วไม่ดี ฝ่าฝืนกฎหมาย เราก็ไม่ทำ

ขณะที่คำถามว่า เช่นนี้เหมือนที่ประชุมของคณะกรรมการ ครส. เปิดเวทีพื้นที่ให้ นายทักษิณ ได้มาชี้แจงถึงผลการทำในอดีตหรือไม่ ทั้งกรณีการตัดตอน หรือการประกาศสงครามยาเสพติด พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ มองว่าอย่าไปคิดแทนนายทักษิณ เพราะก็ยังไม่รู้ว่าจะพูดเรื่องอะไร เอาหัวข้อแค่เรื่องยาเสพติด อาชญากรรมข้ามชาติฯ

ในประเด็นคำถามว่าเหตุใดต้องเป็นคนนี้ ไม่เป็นคนอื่น พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ ระบุว่า เราทราบอยู่แล้วว่าท่านเป็นนายกฯ ในสมัยที่สามารถแก้ไขปัญหายาเสพติดได้ พอประชาชนในยุคของตน หรือยุคเจนเอ็กซ์ หรือเจนเบบี้บูมเมอร์ ถ้าพูดถึงบุคคลที่แก้ไขปัญหายาเสพติดได้สำเร็จ ทุกคนก็นึกถึงนายทักษิณ ชินวัตร ทั้งนั้น ส่วนตัวแม้ตนไม่เคยเจอท่านและไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัว แต่ท่านจะมาพูดก็น่ารับฟัง ลองเปิดใจ กรณีหากนายทักษิณ มางานไม่ได้ เราไม่มีรายชื่อสำรอง เพราะคนเก่งในการแก้ไขปัญหายาเสพติด ส่วนใหญ่ก็เป็นอดีตเลขาธิการ ป.ป.ส. ซึ่งก็ล้วนเป็นที่ปรึกษาตนทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น นายนิยม เติมศรีสุข, นายเพิ่มพงษ์ เชาวลิต, พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ ทั้งหมดล้วนเป็นที่ปรึกษาของเลขาธิการ ป.ป.ส. แต่ในส่วนของนายทักษิณ ตนไม่เคยฟังท่านเลย จะถือว่าเป็นโอกาสที่ดีของคน ป.ป.ส. ด้วยซ้ำ และเป็นโอกาสดีของหน่วยงานที่แก้ไขปัญหายาเสพติด

อย่างไรก็ตาม เมื่อถามว่าในฐานะที่ นายทักษิณ คือบุคคลที่ประสบความสำเร็จเรื่องแก้ไขปัญหายาเสพติด เช่นนี้มีแนวโน้มว่าจะเรียนเชิญมาเป็นที่ปรึกษาหรือเป็นกรรมการในบอร์ดหรือไม่ พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ รีบปฏิเสธว่า ตนมิบังอาจเชิญท่านมาเป็นที่ปรึกษา ฟังท่าน ให้ท่านมาให้คำแนะนำ ก็คงจะได้แนวคิดพอสมควรแล้ว.