“ชาญชัย” ตามผลคดีโยกงบประมาณปี 68 ใช้แจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาท หอบหลักฐานหนังสือทักท้วงของธนาคารแห่งประเทศไทย และเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกามอบป.ป.ช. เชื่อรัฐบาล “อิ๊งค์” ทำความผิดสำเร็จแล้ว
เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 26 พ.ค. 2568 ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต สส. นครนายก พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) แถลงว่า จากกรณีที่ตนและคณะเคยมายื่นเรื่องต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อขอให้ความปรากฏต่อ ป.ป.ช. ว่ามีการกระทำผิดฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 ของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่ได้มีมติสั่งปรับลดงบประมาณ หรือตัดงบประมาณรวม 35,000 ล้านบาท ที่ให้ 5 ธนาคารของรัฐไปกู้มาเพื่อใช้หนี้ (1.) เงินส่งใช้ต้นเงินกู้ (2.) ดอกเบี้ยเงินกู้ (3.) เงินที่กำหนดให้จ่ายตามกฎหมาย โยกไปใช้ในโครงการแจกเงินหมื่น ดิจิทัล วอลเล็ต โดยคณะรัฐมนตรี (ครม.) ไม่ได้สั่งการระงับหรือยับยั้ง รวมถึง สส. และ สว. ตลอดจนกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 ที่เห็นชอบในกรณีดังกล่าว ซึ่งเข้าข่ายความผิดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 144 และ พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลัง มาตรา 28 ด้วย โดยได้ยื่นเรื่องผ่านมาครบ 1 เดือน หรือ 30 วัน ตนจึงมาติดตามผล เพราะตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ ระบุชัดว่า กรรมการ ป.ป.ช. ต้องดำเนินการตามกฎหมาย ป.ป.ช. และยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญโดยพลัน ในส่วนของผู้กระทำความผิดทั้งหมด ยกเว้นผู้ที่พิสูจน์ได้ว่า ไม่อยู่ร่วมในการประชุมเพื่ออนุมัติปรับลดงบประมาณรายจ่ายในส่วนนี้ ทั้งนี้ ตนได้นำเอกสารหลักฐานเพิ่มเติมประกอบด้วยหนังสือของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่เคยส่งหนังสือทักท้วงเพื่อเตือนถึงรัฐบาลในการทำโครงการเติมเงินหมื่นบาทผ่านดิจิทัล วอลเล็ต (โครงการ DW) ลงวันที่ 22 เม.ย. 2567 ดังนั้น ธปท. ในฐานะที่รับมอบหมายให้กำกับดูแลความเสี่ยงและฐานะของสถาบันการเงินเฉพาะกิจมีข้อกังวลว่าการที่รัฐบาลจะมอบหมายให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สนับสนุนโครงการนี้โดยยังมีภาระหนี้คงค้างกับ ธ.ก.ส. ถึง 800,000 ล้านบาท อาจทำให้เกิดความเสี่ยงด้านสภาพคล่องและความเสี่ยงต่อฐานะการดำเนินงานของ ธ.ก.ส. อย่างมีนัยสำคัญ
...
ยื่นหลักฐานเป็นหนี้สาธารณะ
นายชาญชัย กล่าวด้วยว่า วันเดียวกันนั้นนายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ก็ได้ส่งเอกสารเพื่อพิจารณาเพิ่มเติมเรื่องที่ 18 จัดเข้าวาระประชุม ครม. วันที่ 23 เม.ย. 67 ก็ระบุชัดเจนว่า หากเป็นการมอบหมายให้ ธ.ก.ส. ดำเนินโครงการ จะต้องเป็นการดำเนินการที่อยู่ภายใน เข้าวัตถุประสงค์และในหน้าที่และอำนาจตามกฎหมายของ ธ.ก.ส. ตามพระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ปี 2509 ทั้งนี้ตามนัยยะมาตรา 28 ของ พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังของรัฐปี 2561 “ชี้ชัดว่า เงินนี้เป็นหนี้สาธารณะและต้องชำระตามกฎหมาย”
นอกจากนี้ ยังมีหนังสือที่ ปช.0008/0025 ลงวันที่ 7 ก.พ. 2567 จาก พล.ต.อ.วัชรพล ประสานราชกิจ ประธาน ป.ป.ช. ในขณะนั้น ส่งให้ เลขาธิการ ครม. เป็นข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับนโยบายรัฐบาลกรณีโครงการเติมเงิน 10,000 ผ่าน ดิจิทัล วอลเล็ต โดยเฉพาะในข้อ 8.4 ที่ระบุว่า “การดำเนินโครงการเติมเงิน 10,000 ผ่านดิจิทัล วอลเล็ต คณะรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรพิจารณาประเด็นความเสี่ยงด้านกฎหมายอย่างรอบคอบ ประกอบด้วย รัฐธรรมนูญปี 2560 (มาตรา 172), พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังของรัฐ ปี 2561 (มาตรา 53), พ.ร.บ. เงินคงคลัง ปี 2491 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (มาตรา 4, 5, 6), พ.ร.บ. เงินตรา ปี 2501 ตลอดจนกฎหมายคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญและระเบียบอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดำเนินการโครงการเกิดประสิทธิภาพสูงสุด” นายชาญชัย กล่าว
ย้ำ ผิด รธน. พ่วงวินัยการคลัง
นายชาญชัย กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ชัดเจนแล้วว่า ผลของการกระทำนี้ส่งผลกระทบในวงกว้างขณะนี้ เพราะหากเปรียบเทียบให้เห็นภาพคือ ถ้ารัฐบาลให้ ธ.ก.ส. ไปยืมเงินกู้ รัฐต้องใช้คืนทั้งเงินต้น และดอกเบี้ย แต่กลับมีการโยกปรับลดงบฯ นี้ เอาไปใช้ทำโครงการแจกเงินหมื่นดิจิทัล เหมือนกับคนทั่วไปที่มีบัตรเครดิต เมื่อใช้บัตรไปซื้อสินค้าจนหมดวงเงิน พอครบกำหนดก็ต้องจ่ายดอกเบี้ยและเงินต้น เป็นงวด ๆ หากไม่มีเงินใช้หนี้ ธนาคารเจ้าของบัตรก็ไม่ปล่อยเงินมาให้เราใช้อีก จนกว่าจะชำระเงินคืนธนาคารจนครบทั้งต้นและดอกเบี้ย เช่นเดียวกันเมื่อ ธ.ก.ส. ต้องใช้หนี้เดิมพร้อมดอกเบี้ย แต่กลับถูกสั่งให้ปรับลดงบฯ ที่ต้องใช้หนี้และให้รัฐบาลนำไปทำโครงการแจกเงินหมื่นดิจิทัล จึงทำให้ ธ.ก.ส. ไม่สามารถกู้เงินเพิ่มขึ้นได้ เพราะเต็มวงเงินตามมาตรา 28 ของ พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังของรัฐ จึงไม่สามารถช่วยเหลือเกษตรกรที่เดือดร้อน ทั้งกรณี ราคาปาล์มน้ำมัน, ข้าว หรือยางพารา และผลไม้ พืชผลผลิตการเกษตรที่ราคาตกต่ำใด ๆ ได้ เพราะไม่มีวงเงินกู้ชุดใหม่มาช่วยได้ สร้างปัญหากระทบทั้งระบบ ทั้งนี้ชัดเจนแล้วว่า กรณีนี้เป็นการทำผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 144 ถือว่าความผิดสำเร็จแล้ว โดยมีทั้งเอกสารหลักฐานและข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ป.ป.ช. ต้องส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยชี้ขาดโดยพลันตามที่บทบัญญัติกำหนด