“ดนุพร” แถลง พรรคเพื่อไทยห่วงใยและสงสาร “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ยันสู้ต่อ ลุยยื่นหลักฐานใหม่ต่อศาล หลังสั่งชดใช้คดีจำนำข้าว 10,028 ล้าน ชี้เหตุผลแจงถี่ยิบผ่านเพจพรรค ย้ำ รัฐบาลมาจากการเลือกตั้ง วิพากษ์วิจารณ์ได้
เมื่อเวลาประมาณ 10.10 น. วันที่ 25 พฤษภาคม 2568 นายดนุพร ปุณณกันต์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบบัญชีรายชื่อ ในฐานะโฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงข่าวถึงกรณีภายหลังศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษาให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และอดีตประธานกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ ชดใช้ค่าเสียหายส่วนระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือ จีทูจี เป็นเงิน 10,028,861,880.83 บาทนั้น
ในพรรคเพื่อไทยมีความเป็นห่วงเป็นใยและสงสาร น.ส.ยิ่งลักษณ์ ซึ่งคดีจำนำข้าวเป็นคดีที่เกิดขึ้นในช่วงการปฏิวัติรัฐประหาร และเป็นหนึ่งในเหตุผลของการยึดอำนาจ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในขณะนั้นเมื่อปี พ.ศ. 2557 ซึ่ง 10 กว่าปีที่ผ่านมา ตนเชื่อว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ มีทีมกฎหมาย ทนายความที่ร่วมต่อสู้คดี
“แต่เมื่อคดีถึงที่สุด ทางพรรคเองก็ต้องน้อมรับในคำตัดสิน และยังจะใช้ช่องทางทางกฎหมายเท่าที่เหลืออยู่ต่อสู้ในคดีนี้ต่อไป ทางพรรคเองเป็นกำลังใจให้ท่านนายกฯ ยิ่งลักษณ์”

...
ทั้งนี้ หลังศาลมีคำพิพากษา มีการสอบถามเข้ามาที่พรรคเพื่อไทยจำนวนมาก เราได้ไปพูดคุยกับฝ่ายกฎหมายและผู้ใหญ่ของพรรค เรียนว่าคดีนี้ยังมีช่องทางในการที่จะพอต่อสู้คดีได้อยู่ เนื่องจากเมื่อช่วงเดือนกรกฎาคม 2567 มีการขายข้าว 18.9 ล้านตัน ซึ่งน่าจะเป็นหลักฐานใหม่ที่จะนำไปสู่การขอให้ศาลปกครองพิจารณาพิพากษาคดี หรือมีคำสั่งชี้ขาดใหม่ได้ภายใน 90 วัน ตามมาตรา 75 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542
“หลักฐานใหม่นี้คือการขายข้าว 18.9 ล้านตันเมื่อปีที่แล้ว ยังไม่ได้นำเข้าสู่การพิจารณาพิพากษาในคดีนี้ เนื่องจากเป็นพยานหลักฐานที่เกิดขึ้นหรือมีภายหลังการสิ้นสุดการแสวงหาข้อเท็จจริงแล้ว เพราะฉะนั้นทางพรรคเองเรามองว่านี่เป็นหลักฐานใหม่ที่ยังไม่เคยเข้าสู่กระบวนการพิจารณา ดังนั้นเราจะใช้ช่องทางทางกฎหมายตามมาตรา 75 แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 เป็นช่องทางที่จะต่อสู้ต่อไป”
นายดนุพร กล่าวต่อไปว่า คดีนี้เกิดขึ้นในช่วงที่มีการปฏิวัติและยึดอำนาจ แน่นอนว่าในคดีนี้ผู้นำในการปฏิวัติในขณะนั้นมีการประกาศใช้มาตรา 44 หลายฉบับ ซึ่งเกี่ยวข้องกับคดีจำนำข้าว ซึ่งเราก็ต้องต่อสู้กันไปโดยใช้หลักฐานใหม่นี้ตามช่องทางทางกฎหมาย
ส่วนกรณีที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าเพจของพรรคเพื่อไทยลงแต่เรื่องของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ หลังศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษา นายดนุพร ระบุต่อ นโยบายจำนำข้าวเป็นนโยบายหลักที่พรรคเพื่อไทยใช้ในการหาเสียงเมื่อปี 2554 พวกเราชนะการเลือกตั้งส่วนหนึ่งมาจากนโยบายนี้ และยังได้แถลงนโยบายนี้ต่อสภาผู้แทนราษฎรโดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นว่า นี่คือนโยบายหลักที่จะทำให้พี่น้องเกษตรกรชาวนาสามารถลืมตาอ้าปากได้ จึงเป็นเหตุจำเป็นที่พรรคเพื่อไทยจะต้องลงชี้แจงข้อเท็จจริงในเรื่องของคดีนี้ว่าท่านไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างไร

นอกจากนี้ยังมีการวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องคดีมาตรา 112 เป็นการเมืองหรือไม่ ไม่มีการพูดถึงคดีนี้ โฆษกพรรคเพื่อไทย เผยว่า ในวันที่ 3 กรกฎาคม 2568 จะมีการเปิดประชุมรัฐสภาสมัยสามัญ โดยวันที่ 9 กรกฎาคม 2568 ถ้าไม่ผิดเพี้ยนจากกำหนดการที่สภาฯ วางไว้จะมีการพิจารณากฎหมายนิรโทษกรรม จึงไม่อยากให้ถกเถียงกันนอกสภาฯ เมื่อเรามาถึงขั้นตอนการพิจารณากฎหมายนิรโทษกรรม เราควรนำเรื่องนี้ไปอภิปรายถกเถียงในสภาฯ และจะหาข้อสรุปได้ในวันนั้น เชื่อว่าประชาชนจะได้ติดตามเรื่องกฎหมายต่างๆ รวมถึงร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ. .... หรือ ร่างกฎหมายเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ (Entertainment Complex) ก็จะเข้าสภาฯ เช่นกันในเดือนกรกฎาคม
จากนั้นสื่อมวลชนสอบถามถึงประเด็นที่นักวิชาการบางคนมองว่าไม่สามารถทำได้กรณีที่จะนำการขายข้าวเมื่อเดือนกรกฎาคม 2567 มาเป็นหลักฐานใหม่ นายดนุพร ตอบว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องของศาล แต่เราก็มีช่องทางทางกฎหมายที่เหลืออยู่โดยใช้มาตรา 75 ในการที่จะยื่นว่านี่เป็นหลักฐานใหม่ที่ยังไม่เคยเข้าสู่กระบวนการการพิจารณาของศาล เราจะรวบรวมหลักฐานให้แน่นหนาที่สุดและยื่นไป ส่วนศาลจะมีคำวินิจฉัยอย่างไร จะรับหรือไม่ เป็นเรื่องของศาลที่เราจะต้องขอความเมตตาของศาลต่อไป
“รัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ในการที่จะมาพูดคุยกันในเรื่องของความเห็นต่าง ในการวิพากษ์วิจารณ์ ตำหนิการทำงานของรัฐบาลทำได้ครับ เราเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง เรามีวาระ 4 ปีครับ อีก 2 ปีก็เลือกตั้งใหม่ ถ้าคิดว่าพรรคเพื่อไทยทำอะไรไม่ถูกไม่ควร ไม่ชอบในนโยบายพรรค สิทธิของท่านจะอยู่ในมือในปี 2570 เพราะฉะนั้นผมมองว่าเรื่องนี้วิพากษ์วิจารณ์ได้ เราน้อมรับคำวิพากษ์วิจารณ์ของทุกภาคส่วน เพียงแต่ในทางกฎหมายเราก็ต้องสู้ไปตามช่องทางที่เหลืออยู่”