“ภัทรพงษ์” สส.เชียงใหม่ พรรคประชาชน จี้รัฐบาลแก้ปัญหาน้ำกก-น้ำสาย อย่าเมินเฉยปล่อยคนไทยเผชิญปัญหา อัดรัฐมนตรีไร้ศักยภาพ ทั้งที่มีช่องทางทำได้ ซัด ถ้ายังไม่พร้อมทำ ไม่ควรมาเป็นรัฐบาลตั้งแต่แรก

วันที่ 20 พฤษภาคม 2568 นายภัทรพงษ์ ลีลาภัทร์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) เชียงใหม่ เขต 8 พรรคประชาชน โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊ก ระบุถึงปัญหามลพิษทางน้ำข้ามแดน น้ำกก-น้ำสาย ปัญหาที่สะท้อนให้เห็นชัดๆ ว่า การมีรัฐบาลที่ทำงานด้านสิ่งแวดล้อมแบบนี้ เราไม่ต้องมีรัฐมนตรีก็ได้

นายภัทรพงษ์ เผยต่อไปว่า ปัญหามลพิษทางน้ำจากประเทศเพื่อนบ้านที่ตนเคยพูดในโพสต์ก่อนหน้าเมื่อสิ้นเดือนเมษายนว่ามาจากการทำเหมืองทองคำ แรร์เอิร์ธ ในลุ่มน้ำกก และเหมืองทองคำขนาดใหญ่ในพื้นที่ต้นน้ำสาย และที่ตนลงพื้นที่ไปเห็นด้วยตาตัวเอง จากในแนวเขตประเทศไทย และมองเห็นเหมืองทองผิดกฎหมายในพื้นที่ต้นน้ำสายเขตเมียนมาอย่างชัดเจน ทุกอย่างชัดเจนมาก แต่รัฐบาลไม่ทำอะไรเลย

“รัฐบาลชุดนี้ โดยเฉพาะรัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ไม่มีศักยภาพในการจัดการปัญหามลพิษข้ามแดนเลย กับมลพิษทางอากาศข้ามแดน เจอกันมาหลายต่อหลายปี ข้าราชการสังกัดกรมและกระทรวงต่างๆ พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ให้ข้าราชการเขียนแผนอย่างเดียว แต่ผู้มีอำนาจไม่ทำอะไรสักอย่าง เอาแต่ประชุมอย่างเดียว การแก้ปัญหาไม่เกิดขึ้นสักที”

มาครั้งนี้มลพิษทางน้ำข้ามแดน ก็ยังเป็นปัญหาเหมือนเดิมอีก คราวนี้หนักกว่าเดิม ไม่มีการสื่อสาร ไม่มีการเทคแอคชั่นใดๆ กับประเทศเพื่อนบ้าน หลายคนถามว่าแล้วจะให้รัฐบาลทำอย่างไรกับเรื่องนี้ได้ ในเมื่อมันเกิดขึ้นที่ประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งนี้ ในประเทศเรามีกฎหมาย กับต่างประเทศเราก็มีสนธิสัญญา มีข้อตกลงระหว่างประเทศ และก็มีข้อกฎหมายของประเทศคู่กรณีที่เราสามารถใช้ในการต่อรองด้วยเช่นกัน เริ่มกันก่อนที่ไทย-เมียนมา สิ่งที่หยิบมาเจรจาได้เลยคือ ข้อตกลงอาเซียนว่าด้วยการบริหารจัดการภัยพิบัติและภาวะฉุกเฉิน ซึ่งข้อตกลงนี้เป็นข้อตกลงที่เป็นพันธกรณีที่ประเทศสมาชิกต้องปฏิบัติตามและได้ระบุไว้หลายส่วนมากๆ ที่เราหยิบมาต่อรองได้เลยกับเรื่องนี้

...

อย่างแรกคือ นิยามคำว่า disaster (ภัยพิบัติ) ในข้อตกลงนี้บอกไว้ชัดเจนว่า รวมถึงความสูญเสียด้านสิ่งแวดล้อมด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้นเราใช้ได้ชัดเจน ข้อตกลงนี้ยังระบุชัดเจนว่าเราสามารถใช้ในการวางแผนร่วมกันเพื่อจัดการปัญหา ตรวจสอบต้นตอปัญหา ป้องกันและลดความเสี่ยงภัยนี้ได้ วางมาตรการจัดการกับปัญหานี้ในส่วนของแต่ละประเทศตามกฎหมายที่แต่ละประเทศมี ซึ่งของเมียนมาเองจะมี

1. The Environmental Conservation Law 2012
2. The Environmental Conservation Rules 2014 (กฎหมายลูกจากข้อ 1)
3. The Law Amending the Myanmar Mines Law 2015

“นี่คือช่องทางที่เราต้องทำได้เลยเพื่อประชาชนของเรา หลายคนอาจจะบอกว่า เหมืองอยู่ในพื้นที่กองทัพว้า ไม่ใช่รัฐบาลเมียนมา แต่อย่าลืมนะครับว่ามีเหมืองต้นน้ำสายที่อยู่ในพื้นที่ดูแลรับผิดชอบของรัฐบาลเมียนมาเช่นกัน สามารถทำได้เลย และในส่วนของกองทัพว้า เราก็ต้องเจรจากับรัฐบาลเมียนมาให้มีมาตรการจากทางเมียนมาเองเช่นกัน ไม่ใช่ปล่อยให้เกิดปัญหาในประเทศเมียนมา มากระทบประชาชนคนไทยโดยไม่สนใจอะไรเลยแบบนี้ นี่คือตัวอย่างที่เราสามารถทำได้เลย จากข้อตกลงที่มีข้อผูกมัดที่เมียนมาเองต้องปฏิบัตินะครับ ย้ำนะครับ ต้องปฏิบัติ”

หลังจากที่เราเริ่มที่ไทย-เมียนมา แค่นั้นไม่พอ ต้องไปให้ถึงต้นตอนั่นคือไทย-เมียนมา-จีน ต้องรวมจีนด้วย เหมืองแรร์เอิร์ธที่เราเห็นกำลังเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ในต้นน้ำแม่กกเป็นเพียงแค่การเริ่มต้น ที่หากเราไม่หยุดในตอนนี้ อนาคตเราจะเสียหายอีกเยอะมาก ประชาชนคนไทยต้องรับผลกระทบเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า และจะไม่ได้กระทบแค่น้ำกกน้ำสาย แต่จะกระทบกับน้ำโขงที่กินพื้นที่มากแค่ภาคเหนือ เพราะจีนครองตลาด Rare earth อยู่กว่า 80% ของทั้งโลก และนำเข้าจากเมียนมาเยอะมากด้วยเช่นกัน เราต้องไปให้ถึงต้นตอเพื่อแก้ปัญหาให้กับประชาชนของเรา

ในส่วนนี้กรอบความร่วมมือแรกที่เราทำได้เลย คือ กรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ที่มี ไทย จีน และเมียนมาอยู่ครบ โดยในกรอบความร่วมมือนี้จะมีการตั้งศูนย์ความร่วมมือเฉพาะด้านสิ่งแวดล้อมด้วย นั่นคือ Lancang-Mekong Environmental Cooperation Center ซึ่งในจุดนี้มีมานานแล้วนะครับ มี Action Plan 5 ปีออกมาด้วย และใน Action Plan ก็มีเรื่องที่พื้นฐานที่สุดคือการประชุม Roundtable (การประชุมโต๊ะกลม) ปีละ 1 ครั้ง แต่ Roundtable Dialogue ออกมาล่าสุดปี 2021 นี่คือที่มาของปัญหานี้ เราเพิกเฉยกับปัญหานี้มานานมาก จนมันส่งผลกระทบกับประชาชน นอกจากนี้ ยังมีกลไก ASEAN-China Environmental Cooperation อีก ที่มี Action Plan ปี 2021-2025 อีกที่สามารถหยิบมาใช้ต่อรองได้ ยังไม่ได้พูดถึง Basel Convention ที่สามารถใช้ได้เช่นกัน

“ช่องทางแก้ไขเรามี แต่รัฐบาลต้องเป็นคนทำ รัฐมนตรีมีเพื่อทำงานให้ประชาชน ไม่ใช่ตำแหน่งต่อรองทางการเมือง อย่าปล่อยให้ประชาชนต้องเผชิญกับปัญหานี้ แล้วทำให้ปัญหามันใหญ่ขึ้นกว่าอีกหลายเท่าในอนาคตจากการเพิกเฉยของรัฐบาลเอง สุดท้ายแล้วถ้ายังไม่ทำ ไม่พร้อมจริงๆ ก็ไม่ควรมาเป็นรัฐบาลตั้งแต่แรก”