“ธรรมนัส”เปิดใจคิดการใหญ่ ตั้งเป้าเลือกตั้งปี 70 กวาดเก้าอี้ สส.ภาคตะวันออก ภาคกลาง และเหนือตอนล่าง ยอมรับสนิท “สุชาติ ชมกลิ่น” หากได้ร่วมงานด้วยถือว่าโชคดี
วันที่ 18 พ.ค. 2568 ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า สส.พะเยา ประธานที่ปรึกษาพรรคกล้าธรรม ให้สัมภาษณ์พิเศษ “ไทยรัฐ” ถึงยุทธศาสตร์เลือกตั้งในปี 2570 ว่า สมัยที่เป็นแกนหลักของพรรคพลังประชารัฐก็ได้รับมอบหมายให้ดูแล 17 จังหวัดภาคเหนือ เตรียมตัวเข้าสู่การเลือกตั้งล่วงหน้า 2 ปี ถือว่าไม่ใช่เรื่องน่าตื่นเต้นทางการเมือง แต่เป็นเวลาที่ควรจะต้องเตรียมตัว เมื่อมาตั้งพรรคกล้าธรรม แล้วมีการเลือกตั้งซ่อมที่เกิดขึ้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ถือเป็นใบเบิกทางว่าพรรคเราเอาจริงเตรียมพร้อมเสมอในการเลือกตั้งในทุกพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่ 14 จังหวัดภาคใต้
ตั้งเป้าเมืองหลวงภาคตะวันออก
ร.อ.ธรรมนัส กล่าวด้วยว่า อยากแสดงให้เห็นว่าพรรคกล้าธรรม ไม่ใช่พรรคที่มี สส. เพียงแค่ภาคใดภาคหนึ่ง แต่มี สส. ทุกภาคของประเทศ “สไตล์ผม เป็นคนที่เวลาพูดอะไรพูดตรงไปตรงมา เวลาช่วยเหลือกันก็ช่วยเหลือแบบพี่ แบบน้อง โดยไม่มีเงื่อนไข” ร.อ.ธรรมนัส กล่าวและว่า เมื่อเขาศรัทธาแล้วก็เห็นอนาคตว่าพรรคนี้น่าจะเป็นพรรคที่ดีที่เราเลือก ที่จะไม่ทะเลาะกับใคร เป้าประสงค์สูงสุด คือทำงานเพื่อชาติบ้านเมือง และพี่น้องประชาชน โดยรักษาไว้ ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ มีหลักมีจุดยืนเป็นของตัวเองชัดเจน ดังนั้นที่ชลบุรีก็ดี พรรคก็มี สส. อยู่แล้วของเดิม “ผมมีความมั่นใจว่าผมจะสามารถขยายฐานของภาคตะวันออกได้ดี ณ เวลานี้ เรามีแปดริ้ว มีชลบุรี แล้วผมไปพื้นที่จันทบุรี และตราด และระยองบ่อย ผมมั่นใจว่าผมจะทำได้”
...
ลั่น “ชลบุรี” ควรหันหน้าคุยกัน
ร.อ.ธรรมนัส ยังระบุด้วยว่า เชื่อว่าปัจจุบัน คนไทยรู้ว่าควรเลือกใคร บางภาคอย่างภาคกลาง และภาคเหนือตอนล่าง สังเกตว่าจะผสมผสานหลายๆ พรรค นั่นหมายความว่าประชาชนในพื้นที่ เขาดูว่า เขาจะเลือกพรรคไหน เลือกคนไหน ยังไม่มีพรรคไหนเป็นเจ้าของ ก็จะทำงานทางการเมืองได้ง่าย “บางจังหวัด บางภาค บางพรรคขายไม่ได้ ผมก็จะเข้าไป ผมรู้ว่าไม่มีเจ้าของ” อย่างกรณีของ จ.ชลบุรี ยอมรับว่าตนสนิทกับนายสุชาติ ชมกลิ่น รมช.พาณิชย์ พรรครวมไทยสร้างชาติ หากวันใดวันหนึ่ง ถ้าได้ร่วมอุดมการณ์กับนายสุชาติ ก็ถือว่าเป็น “โชคดีของผม” พูดได้แค่นี้
การเมืองไม่มีมิตรและศัตรูถาวร
เมื่อถูกถามว่าการวางยุทธศาสตร์ที่ จ.ชลบุรี ที่ให้นายสุชาติดู 5 เขตแรก พรรคกล้าธรรมดู 5 เขตหลัง จะทำให้คนที่เป็นบ้านใหญ่เดิม คือคุณสนธยา คุณปลื้ม หายไปจากพื้นที่หรือไม่ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า ตนเชื่อว่าในอนาคต ชลบุรี ควรจะหันหน้าคุยกัน เพราะถือว่าเป็นจังหวัดใหญ่ของภาคตะวันออก ถ้าจะพูดก็คือเมืองหลวงของภาคตะวันออก มันต้องสามัคคีกัน การเมืองถ้ามีความแตกแยกกัน การพัฒนามันก็ลำบาก เช่นเดียวกับพรรคภูมิใจไทย แม้ในพื้นที่จะแข่งขันกันดุเดือดในการเลือกตั้งซ่อม สส. นครศรีธรรมราช เขต 8 แต่เมื่อการแข่งขันจบ ก็เป็นมิตรกัน ร่วมอุดมการณ์ได้ตลอดเวลา

ใช้กลยุทธ์บ้านใหญ่ สู้เลือกตั้ง
ส่วนการเลือกตั้งครั้งหน้าจะใช้กลยุทธ์บ้านใหญ่ในการบริหารจัดการ มาสู้กับพรรคประชาชนหรือไม่นั้น ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า ตนไม่ต้องนำพรรคกล้าธรรมไปต่อกรกับใคร แต่การทำการเมือง การเมืองท้องถิ่นเป็นรากเหง้าของการเมืองใหญ่ หากเราไม่สามารถสร้างฐานการเมืองให้มีความมั่นคงในแต่ละจังหวัด การเมืองใหญ่ลำบากยาก จะใช้กระแสหรืออะไรแล้วแต่อย่างเดียวไม่ได้ การสร้างฐานการเมืองท้องถิ่นเป็นเรื่องสำคัญที่สุด “การเลือกตั้งนายกเทศบาล เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา พรรคกล้าธรรมส่งผู้สมัครไปจำนวนมาก ส่วนใหญ่ก็คนที่เป็นเครือข่ายของเทศบาลเรา ก็เข้าเป้าหมด ส่วนใหญ่ที่เรามี สส. อยู่หรือมีนายก อบจ. อยู่เราคอนโทรลได้หมด”
โฟกัสเกษตรกรฐานรากประเทศ
ร.อ.ธรรมนัส กล่าวด้วยว่า พรรคกล้าธรรม น่าจะเป็นพรรคที่คิดและทำในสิ่งที่พรรคอื่นอาจจะไม่คิด นั่นคือต้องซูมแต่ละจังหวัดคือ 77 จังหวัด บริบทในพื้นที่ของแต่ละจังหวัด เราจะมองว่า ฐานรากคนส่วนใหญ่เขาทำอะไร ต้องไปพัฒนาสิ่งเหล่านี้ คนไทยส่วนใหญ่ 30 ล้านคนคือภาคการเกษตร อีกประมาณ 20 ล้านคือผู้ใช้แรงงานภาคการเกษตร ฉะนั้นคนไทย 50% ถือว่าเป็นคนไทยส่วนใหญ่ของประเทศ ดังนั้นต้องนำสู่ “การเกษตรยุคใหม่” ไม่ใช่เกษตรยุคเก่าที่ปลูกเยอะ ขายได้น้อย ราคาต่ำ “2 ปีที่ผ่านมา ผมบริหาร 1 ปี แน่นอนเห็นดอกเห็นผลชัดเจน “ราคาพืชผลทางการเกษตรขึ้นทุกประเภท” มีประเภทเดียวที่ผมยังแก้ไม่ได้คือ “ภาคปศุสัตว์” คือภาคโคกระบือซึ่ง ศ.นฤมล รับช่วงต่อไป”
จีบนักการเมืองท้องถิ่นสู้เลือกตั้ง
ต่อข้อถามถึงการเตรียมพร้อมสำหรับการเลือกตั้งใหญ่ในปี 2570 ร.อ.ธรรมนัส ยอมรับว่า พรรคกล้าธรรมคิดการใหญ่จริง ณ เวลานี้ จะมีการขับเคลื่อนแรงที่ภาคตะวันออก ด้วยการเฟ้นหาคนที่ใส่ใจเรื่องชาวบ้านจริง ติดดินจริงๆ และเป็นคนที่มีองค์ความรู้ เป็นนักการเมืองท้องถิ่น ถ้าสังเกตเจาะลึกจริงๆ พร้อมยอมรับด้วยว่า คนของกล้าธรรมที่เป็น สส. เขตส่วนใหญ่เป็นอดีตเพื่อไทย ไทยรักไทยเก่าทั้งนั้น แต่ถามว่าในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล ต้องให้เกียรติผู้นำพรรคร่วม ก็จะมองเห็นว่าเราไปไหนไปกัน

ตอนนี้ชอบเป็นโค้ชมากกว่า
ส่วนที่ถามถึงกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร อยากให้ ร.อ.ธรรมนัส เป็นรัฐมนตรีแต่นายกฯ อิ๊งค์บอกอย่าเพิ่งเข้ามา มีข้อเท็จจริงอย่างไร ร.อ.ธรรมนัส ตอบว่า ตนผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรีมา 2 สมัยแล้ว สมัยแรกตอนเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรก็ถูกร้องเรื่องพวกนี้ ร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งศาลได้มีคำวินิจฉัยชัดเจนว่าคุณสมบัติไม่มีปัญหา จึงได้เป็นรัฐมนตรีต่อ พอมายุคในยุครัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน ตนเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ก็มีคนร้องและถวายฎีกาเหมือนกัน แต่ทุกอย่างมันจบมาแล้ว ฉะนั้นในเรื่องคุณสมบัติของตน ไม่มีปัญหา “คำถามว่าท่านทักษิณ อยากให้ผมเป็นรัฐมนตรีไหม หรือนายกอิ๊งค์ยินดีหรือไม่ยินดีกับผมมั้ย ไม่ใช่เป็นเรื่องสำคัญ สาระสำคัญอยู่ที่ตัวผม ผมวางบทบาทตัวเอง ว่าผมควรจะอยู่ยังไงในเวทีการเมือง บางครั้งเราต้องถอยมาโค้ช ฉะนั้นคนไม่รู้จังหวะตัวเอง ส่วนใหญ่จะเดินไปไม่ถึงเป้า”
มั่นใจรัฐบาลอยู่ครบเทอม
“ผมว่าพอผมถอยหลังมาเป็น “โค้ช” เราเห็นนักมวย เห็นนักกีฬาแต่ละคน มันเล่นยังไง เราต้องสอนให้มันเล่น หรือบางครั้งเล่นไม่ได้ดั่งใจ เราต้องขึ้นเวที ลงไปในสนามไปบอกให้ต้องทำอย่างนั้นอย่างงี้ อันนี้ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ” ร.อ.ธรรมนัส กล่าวและว่า ยังมีความมั่นใจว่ารัฐบาลชุดนี้จะอยู่ครบวาระ การพูดคุยจะดีขึ้นอีกครั้ง ประสบการณ์ บทเรียนที่ผ่านมา “การเมืองที่ไม่จบด้วยการเมือง” ต้องให้การอื่นเข้ามาแก้ปัญหาการเมือง ทุก 10 ปี จะเป็นอย่างนี้...ก็ไม่ควรที่จะเกิดขึ้นอีกแล้ว”