โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ มั่นใจ “ทีมไทยแลนด์” หลังสหรัฐฯ ชื่นชมข้อเสนอไทย เป็นสัญญาณบวก เชื่อเดินมาถูกทาง การเจรจาจะเป็นผลดี

วันที่ 14 พฤษภาคม 2568 นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีสั่งการให้คณะทำงานที่เกี่ยวข้องกับการเจรจากำแพงภาษีของสหรัฐอเมริกาพิจารณาข้อมูลที่เตรียมการไว้ รวมทั้งให้ติดตามสาระสำคัญที่มีการพูดถึงการเจรจาของแต่ละประเทศในเวทีการประชุมการลงทุน ซาอุดีฯ-สหรัฐฯ ที่กรุงริยาด ประเทศซาอุดีอาระเบีย เมื่อวันที่ 13 พ.ค. ที่ระบุว่า นายสก็อตต์ เบสเซนต์ (Mr. Scott Bessent) รมว.คลังสหรัฐอเมริกา ได้กล่าวถึงหลายประเทศในยุโรปและเอเชียที่ได้มีการส่งข้อเสนอเพื่อขอเจรจากับสหรัฐฯ ซึ่งการเจรจากับประเทศต่าง ๆ รวมทั้งประเทศในเอเชียเป็นไปอย่างสร้างสรรค์และมีประสิทธิผล

โดย รมว.คลังสหรัฐฯ ได้กล่าวถึงประเทศไทยว่า การพูดคุยกับประเทศไทยนั้น “ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี” พร้อมชื่นชมว่าไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้นำเสนอแนวคิดริเริ่มที่โดดเด่น

นายจิรายุ กล่าวว่า การทำงานของรัฐบาลเตรียมการมาตั้งแต่ต้นปี ก่อนที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะเข้าสาบานตนรับตำแหน่ง ซึ่งนายกฯ ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานนโยบายการค้าสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการ ตั้งแต่วันที่ 6 ม.ค. เพื่อประสานและผลักดันการดำเนินงานเชิงยุทธศาสตร์ โดยนายกรัฐมนตรีได้ติดตามทุกประเด็นในการเตรียมความพร้อม และให้ทีมศึกษาข้อเสนอแนะของประเทศต่าง ๆ รวมไปถึงการหารือระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศต่าง ๆ ในช่วงที่ผ่านมา

ขณะเดียวกัน นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง ได้วางกรอบการเจรจา 5 แนวทาง

1) การปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมแปรรูปอาหารและสินค้าเกษตร โดยวิเคราะห์อย่างละเอียดว่าสินค้าใดที่ไทยขาดแคลนวัตถุดิบ และสามารถนำเข้ามาเติมเต็มห่วงโซ่การผลิตได้ในลักษณะ win-win

...

2) การทบทวนภาษีนำเข้าของสินค้าปัจจุบัน โดยรัฐบาลจะพิจารณาการผ่อนคลายเงื่อนไขบางประการและบริหารโควต้าให้เหมาะสม โดยต้องไม่กระทบกับภาคการผลิตในประเทศ

3) การปรับปรุงกลไกภายในประเทศ เพื่อลดความซ้ำซ้อนทางกฎระเบียบและขั้นตอนนำเข้าสินค้า โดยมุ่งแก้ไขอุปสรรคที่ไม่เกี่ยวข้องกับภาษี (Non-Tariff Barriers) พร้อมกับเพิ่มประสิทธิภาพระบบภายในประเทศ ลดภาระของผู้ประกอบการ และส่งเสริมสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุนและนวัตกรรม

4) ใช้มาตรการคัดกรองสินค้านำเข้าอย่างรอบคอบ ตรวจสอบแหล่งกำเนิดสินค้าอย่างเข้มงวด และดำเนินมาตรการเพื่อป้องกันไม่ให้ประเทศที่สามใช้ไทยเป็นฐานหลีกเลี่ยงมาตรการทางภาษีจากสหรัฐฯ

5) ปรับโครงสร้างการลงทุน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมพลังงานและปิโตรเคมีที่ไทยเริ่มขาดแคลนวัตถุดิบและทรัพยากร และส่งเสริมให้ภาคเอกชนไทยที่มีศักยภาพเข้าไปลงทุนในสหรัฐฯ มากขึ้น

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีและคณะทีมที่ปรึกษา รวมทั้งส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ทั้งกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน รวมทั้งภาคเอกชน สภาหอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ได้หารือพูดคุยเพื่อให้ไทยมีข้อเสนอที่ดีที่สุด และเป็นประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ ซึ่งการที่ใช้จังหวะเวลาและข้อมูลที่เหมาะสม จะทำให้การเจรจาเป็นผลบวกต่ออุตสาหกรรมของประเทศไทยในการส่งออกทุกประเภทอย่างแน่นอน