“ศุภโชติ” สส.พรรคประชาชน อัดรัฐบาลพูดไม่หมดปมขึ้นภาษีน้ำมัน ทั้งที่ราคาน้ำมันโลกขาลง คนไทยควรได้จ่ายถูกลง ชี้สาเหตุรัฐเก็บรายได้พลาดเป้า ต้องมารีดจากประชาชน ซัด กล้าเก่งกับคนตัวเล็กตัวน้อย


วันที่ 11 พฤษภาคม 2568 นายศุภโชติ ไชยสัจ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน กล่าวถึงกรณีคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบการเพิ่มอัตราภาษีสรรพสามิตสินค้าน้ำมันดีเซลและน้ำมันเบนซิน เพิ่มขึ้น 1 บาทต่อลิตร ว่า รัฐบาลพยายามขายภาพให้ดูเหมือนทุกอย่างจะไม่กระทบประชาชน บอกว่าขึ้นภาษีน้ำมันแต่ราคาน้ำมันไม่ขึ้น แต่คำถามสำคัญคือทำไมราคาน้ำมันในไทยไม่ลด ทั้งที่ราคาน้ำมันโลกอยู่ในช่วงขาลง

นายศุภโชติ ระบุต่อไปว่า เรื่องนี้เกิดจากการที่รัฐบาลเก็บรายได้เข้ารัฐพลาดเป้า เพราะหวังพึ่งภาษีรถยนต์ไฟฟ้า (EV) แต่รายได้ไม่มาตามแผน รัฐบาลตั้งความหวังกับการเปลี่ยนผ่านสู่ EV หวังว่าจะลดการพึ่งพารายได้จากน้ำมัน แต่ความจริงคือรายได้จาก EV ยังไม่สามารถทดแทนได้ และการยกเว้นภาษีเพื่อกระตุ้นตลาดก็ยิ่งทำให้รัฐขาดดุลทางรายได้มากขึ้นไปอีก

เมื่อรายได้ที่หวังจากแหล่งใหม่ไม่เป็นไปตามเป้า รัฐบาลจึงหันกลับมาเก็บจากน้ำมัน ด้วยการขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลและเบนซิน ลิตรละ 1 บาท แล้วใช้วิธีลดเงินที่ส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อให้ราคาหน้าปั๊มยังเท่าเดิม รัฐบาลบอกว่าไม่กระทบประชาชนเพราะราคาน้ำมันไม่ได้เพิ่มขึ้น

“แต่สิ่งที่รัฐบาลไม่ได้พูดคือถ้ารัฐไม่ปรับอะไรเลย ราคาน้ำมันจะลดลงตามราคาน้ำมันโลกอยู่แล้ว ยิ่งตอนนี้ราคาอยู่ในช่วงขาลงอย่างต่อเนื่อง นี่คือโอกาสที่คนไทยควรได้ใช้น้ำมันราคาถูกลง แต่กลับไม่ได้เพราะรัฐเข้ามาแทรกแซงเพื่อเก็บภาษีเพิ่ม”

...

ทั้งนี้ เรื่องน้ำมันไม่ใช่กรณีแรก ก่อนหน้านี้มีกรณีค่าไฟฟ้า ที่รัฐบาลสามารถลดภาระค่าไฟให้ประชาชนได้มากกว่านี้จากต้นทุนที่ลดลง แต่กลับเลือกที่จะรักษารายได้ของเอกชน หรือไม่กล้าไปแตะกำไรของผู้ผลิตไฟฟ้ารายใหญ่ ในขณะที่คนตัวเล็กๆ ต้องจ่ายค่าไฟสูงทั้งที่ต้นทุนลดลง ต้องจ่ายค่าน้ำมันเท่าเดิมทั้งที่ควรถูกลง กลับไม่มีใครแตะทุนผูกขาดรายใหญ่ หรือจัดการกับคนรวยที่เลี่ยงภาษีได้อย่างจริงจัง

นายศุภโชติ กล่าวอีกว่า ทั้งหมดนี้สะท้อนพฤติกรรมซ้ำซากของรัฐบาลชุดนี้ ที่พอนโยบายไม่ได้ผล รายได้รัฐหาย ก็จะมารีดเก็บจากคนตัวเล็กๆ ผ่านของจำเป็นในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นน้ำมัน ค่าไฟ ค่าเดินทาง ฯลฯ ทั้งที่วันนี้ประชาชนควรได้ประโยชน์จากราคาพลังงานที่ลดลง แต่กลับต้องจ่ายแพงเหมือนเดิม เพราะรัฐบาลต้องการเงินโดยไม่กล้ายุ่งกับกลุ่มทุนใหญ่หรือผู้มีอำนาจ ไม่กล้าแตะโครงสร้างที่เอื้อให้ทุนใหญ่ที่ได้เปรียบอยู่แล้ว ยังคงได้เปรียบต่อไป

“รัฐบาลควรยอมรับความผิดพลาดในการบริหารนโยบาย และไม่ควรโยนภาระให้ประชาชนต้องรับผิดชอบต่อผลงานที่ล้มเหลวของตัวเอง ประชาชนควรได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ลดลงตามกลไกตลาดโลก ไม่ใช่ถูกบิดเบือนด้วยกลไกภาษีแบบนี้ เพียงเพราะรัฐบาลไม่กล้าแตะผลประโยชน์ของทุนใหญ่ แต่กล้ามากเก่งมากกับประชาชนคนตัวเล็กตัวน้อย”