“นายกฯ แพทองธาร” ประกาศพฤษภาคมของทุกปีเป็น “เดือนแห่งสุขภาพใจ” เผย คนไทยเผชิญปัญหาสุขภาพจิตกว่า 2 ล้านคน ตั้งเป้าศูนย์ให้คำปรึกษาสุขภาพจิต 370 แห่งในสิ้นปี 68


เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 6 พฤษภาคม 2568 น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงาน “เดือนแห่งสุขภาพใจ Mind Month” จัดโดยกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) องค์การอนามัยโลก (WHO) และภาคีเครือข่าย พร้อมเยี่ยมชมนิทรรศการ “สุขภาพใจเป็นเรื่องของทุกคน” และร่วมเสวนา “สุขภาพใจ เริ่มต้นได้ที่ครอบครัว” ร่วมกับตัวแทนครอบครัวในสายอาชีพต่างๆ กว่า 20 ครอบครัว ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่รัฐบาลประกาศให้เดือนพฤษภาคมของทุกปี เป็นเดือนแห่งสุขภาพใจ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของช่วงเวลาแห่งความเข้าอกเข้าใจ ซึ่งทั้ง 6 มาตรการที่ สธ. ร่วมกับภาคีเครือข่ายนำเสนอในครั้งนี้ จะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันและทำให้ประชาชนเข้าถึงบริการสุขภาพจิตมากขึ้น โดยเฉพาะการจัดตั้งศูนย์ให้คำปรึกษาสุขภาพจิต ตั้งเป้าให้เกิดขึ้นภายในเดือนพฤษภาคม 37 แห่ง และภายในสิ้นปี 370 แห่ง ถือเป็นหนึ่งในแนวทางการสร้างกลไกให้ประชาชนตระหนักในการดูแลสุขภาพใจของตนเอง เป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญที่รัฐบาลประกาศไว้ต่อรัฐสภา

...

ทั้งนี้ ปัญหาสุขภาพทางใจเป็นปัญหาสำคัญที่ถูกมองข้าม ซึ่งตนให้ความสำคัญ เพราะแม้เรามีร่างกายสมบูรณ์แต่หากสุขภาพใจไม่แข็งแรงการทำเรื่องต่างๆ ให้สำเร็จก็เป็นไปได้ยาก โดยเฉพาะการเปิดใจรับฟังโดยไม่รีบตัดสินหรือให้คำปรึกษา ถือเป็นการเสริมความเข้าใจปัญหาและสร้างความเข้มแข็งทางใจ โดยเฉพาะต้องทำความเข้าใจด้วยว่าเมื่อเราประสบปัญหาทางใจการเข้าพบแพทย์รับคำปรึกษาไม่ใช่เรื่องผิดหรือแปลก แต่เป็นการที่เราเริ่มรู้ตัวว่าจะดูแลตนเองอย่างไร

น.ส.แพทองธาร กล่าวต่อไปว่า อย่างที่ทราบตนมีลูกเล็กอยู่ 2 คน (น้องธิธาร - น้องธาษิณ) อยากสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้กับเขา อย่างน้อยเราเป็นแม่ ไม่ว่าจะเป็นแม่มานานแค่ไหน หรือเพิ่งตั้งท้อง สิ่งสำคัญคือเราต้องให้เวลาและให้การรับฟังลูกของเรา ตนเองงานยุ่งอาจจะไม่ได้มีเวลามาก เมื่อมีเวลาก็พยายามรับฟังเขาให้มาก และคอยพยายามสอนเขา ในเรื่องที่เวลาเขาอยากจะเล่าอะไรให้เราฟัง ก็ตั้งใจฟังว่าเด็กต้องการสื่ออะไร เขามีเรื่องอะไรในใจเป็นสิ่งที่สำคัญ ไม่ต้องเป็นเด็กก็ได้ เราเองเป็นผู้ใหญ่ทุกวันนี้ว่าเรามีปัญหา ถ้ามีคนรับฟังและพร้อมที่จะเข้าใจเรา ทำให้รู้สึกว่ามีคนรับฟัง แน่นอนต่อไปในอนาคตเรื่องของสุขภาพกายและสุขภาพใจต้องทำคู่กัน

“วันนี้เราต้องทำความเข้าใจกับประชาชนว่าเรื่องสุขภาพจิต สุขภาพใจ การเข้าพบแพทย์หรือการขอคำปรึกษาไม่ใช่เรื่องผิดหรือเรื่องแปลก ไม่ได้แปลว่าเราเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่มันแปลว่าเราเริ่มที่จะรู้ตัวว่าเราต้องดูแลตัวเองอย่างไร มันไม่ง่ายเหมือนอาหาร เรารู้กินอาหารไม่ครบ 5 หมู่ แต่บางทีเรื่องของจิตใจเราไม่ทราบว่าต้องดูแลอย่างไร ถือเป็นทางเลือกหนึ่งที่เราสามารถทำให้เรื่องนี้ปกติมากขึ้น ให้เรามีทางออก เพราะในชีวิตแต่ละคนการตัดสินใจของแต่ละคนไม่ได้เหมือนกัน เจอเรื่องมาไม่เหมือนกัน แต่ว่าถ้าเรามีทางออกที่พึ่ง สามารถฝ่าฟันอุปสรรคไปได้ ฉะนั้นเรื่องของจิตใจ รัฐบาลสนับสนุนเรื่องนี้อย่างเต็มที่ และผลักดันเรื่องนี้ให้เด็กๆ น้องๆ โตขึ้นไปยังแข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจ”

ทางด้าน นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า สำนักงานสภาการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) คาดการณ์ว่า ปัจจุบันคนไทยกว่า 10 ล้านคน ต้องเผชิญกับปัญหาด้านสุขภาพจิต โดยเฉพาะโรคซึมเศร้า วิตกกังวล ภาวะเครียดสะสมรุนแรง และจิตเภท กว่า 2 ล้านคนเข้ารับการรักษาในระบบบริการสาธารณสุข ดังนั้น กระทรวงสาธารณสุขจึงได้ร่วมกับภาคส่วนต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ขับเคลื่อน 6 มาตรการสำคัญในปีนี้ ได้แก่

1. ส่งเสริมพัฒนาการและความฉลาดทางอารมณ์ของเด็กปฐมวัย ด้วยโปรแกรมกิจกรรมกลุ่มเชื่อมระหว่างโรงเรียน ผู้ปกครอง และเด็ก
2. พัฒนาระบบ HERO แพลตฟอร์มสุขภาพจิตในโรงเรียนให้ครูสามารถประเมินสุขภาพเด็กในเบื้องต้นได้
3. ส่งเสริมการดำเนินการด้วยระบบ Holistic Health Advisor หลักสูตรดูแลสุขภาพจิตวัยทำงาน
4. จัดตั้งศูนย์ให้การปรึกษาสุขภาพจิต รองรับการดูแลผู้ต้องการความช่วยเหลือด้านสุขภาพจิตทั้งแบบ On-Site และ Online
5. พัฒนาระบบต่อเติมใจ แพลตฟอร์มฝึกจิตบำบัดด้วยตนเอง
6. เปิดให้บริการแพลตฟอร์มสุขภาพจิตดอทคอม เป็นช่องทางหลักช่วยให้ประชาชนมีความรอบรู้สุขภาพจิตยิ่งขึ้น

ขณะที่ นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม รองผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า สถานการณ์ปัจจุบัน พบว่า วัยทำงานอายุ 30-39 ปี มีความเสี่ยงเครียดและซึมเศร้ามากกว่า 20% ส่วนผู้สูงอายุ 60 ขึ้นไป มีความเสี่ยงเครียดและเสี่ยงซึมเศร้ามากกว่า 500,000 คน ซึ่งไม่เพียงกระทบคุณภาพชีวิต แต่ยังสร้างภาระทางสังคมและครอบครัว สสส. จึงได้ร่วมกับกรมสุขภาพจิต และองค์การอนามัยโลก (WHO) เปิดตัวโครงการในเดือนแห่งสุขภาพใจ สร้างนวัตกรรมสุขภาพจิตเชิงป้องกันภายใต้ชื่อต่อ-เติม-ใจ ซึ่งเป็นโปรแกรมฝึกจิตบำบัดด้วยตนเองภายใน 5 สัปดาห์ ผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลโดยการทำแบบประเมินควบคู่กับการดูแลโดยผู้ช่วยออนไลน์ หรือ e-Helper

พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้ครอบครัวมีบทบาทในการแนะนำและติดตามผู้สูงอายุซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงที่มีความเครียดสูงเข้าใช้โปรแกรมเพื่อลดภาวะเครียดและซึมเศร้าเบื้องต้นก่อนเข้าสู่ระบบการรักษา และส่งต่อผู้ที่มีภาวะรุนแรงสู่หน่วยบริการได้รวดเร็วขึ้น โดยตั้งเป้าให้ประชาชนเข้าถึงระบบภายในปี 2568 อย่างน้อย 200,000 คน และขยายสู่ 1 ล้านคน ภายใน 3 ปี เพื่อยกระดับการป้องกันสุขภาพจิตระดับประเทศ หากสนใจทดลองใช้งานโปรแกรมสามารถเข้าไปได้ที่เว็บไซต์ต่อเติมใจ 

จากนั้นนายกรัฐมนตรีร่วมเสวนากับตัวแทนครอบครัวจากกลุ่มอาชีพต่างๆ โดยครอบครัวแรกเป็นอินฟลูเอนเซอร์คุณแม่ลูก 3 จากช่องติ๊กต๊อก สอบถามนายกรัฐมนตรีว่า เมื่อมีคนติดตามเยอะ มีความคาดหวังและแรงกดดันมาถึงลูกๆ จะดูแลลูกๆ อย่างไร นายกรัฐมนตรีตอบว่า เมื่อครอบครัวของเราเข้มแข็ง เด็กๆ ไม่ได้สนใจกระแสสังคม เมื่อครอบครัวเข้มแข็งทำให้ลูกๆ รู้สึกถึงความปลอดภัยมั่นคง และเราควรคาดหวังในสิ่งที่เขาทำได้ เช่น หากลูกอายุ 2 ขวบ ก็คาดหวังสิ่งที่เขาจะทำได้ตามช่วงวัย และเมื่อเราเป็นคนสาธารณะ คุณพ่อคุณแม่ต้องตั้งสติให้ชัด เป้าหมายที่เราวางไว้คืออะไร

ขณะที่ครอบครัวคู่รัก LGBTQIA+ พาลูกมาด้วย ได้ถามนายกรัฐมนตรีว่า ยังมีสังคมบางส่วนที่ไม่ยอมรับครอบครัวเรา จะให้คำแนะนำอย่างไร นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ความรักทุกรูปแบบเป็นเรื่องที่ดี บางคนโตมากับพ่อแม่ บางคนโตมากับคุณลุงคุณป้า หากได้ความรักที่ดีทุกคนจะเข้มแข็งและเป็นคนที่ดีของสังคมได้ เพราะมนุษย์ต้องการความมั่นคง เมื่อทั้งสองรักกันก็จะทราบว่าความรักนั้นจริงหรือไม่ มีคุณค่ามีความหมายมากน้อยแค่ไหน อย่างตนเมื่อถึงวันหนึ่งหากลูกเลือกทางอะไรก็แล้วแต่ที่เขามีความสุข และเมื่อเจอปัญหาแล้วไม่จมกับเรื่องนั้น สามารถก้าวเดินต่อไปได้ ตนจะถือว่าเป็นเรื่องที่เก่งมาก.