“อลงกต” มองหากไม่มีความจำเป็น สว. ก็ต้องตัดงบปรับปรุงสภา แนะเปลี่ยนเป็นหลังคาศาลาแก้วเป็นแบบทึบ เห็นพ้องกับผู้นำฝ่ายค้าน ควรเลื่อนออกไปเพราะเศรษฐกิจย่ำแย่ รับสมัยก่อนเดินผ่านนึกว่าวัด ยกมือไหว้ตลอด


วันที่ 6 พฤษภาคม 2568 นายอลงกต วรกี สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการติดตามการบริหารงบประมาณ วุฒิสภา ให้สัมภาษณ์ถึงวาระการประชุม กมธ. วันนี้ว่า เรื่องแรกคือตลาดในจังหวัดสมุทรปราการ ที่ตั้งงบประมาณไปแล้วแต่ไม่สามารถทำได้ และเรื่องที่สังคมให้ความสนใจคืองบประมาณของรัฐสภา โดยเฉพาะรายการสำคัญคือตัวศาลาแก้ว ที่ต้องถามว่าโครงสร้างนี้หรือการจัดซื้อจัดจ้างศาลามีตั้งแต่เมื่อไหร่ เมื่อมีการจัดสรรงบประมาณมาทำศาลาที่มีหลังคาเป็นกระจกแล้วตอนนั้นทำไมไม่มีการตั้งคำถาม

ทั้งนี้ กมธ.ติดตามงบประมาณ วุฒิสภา ไม่มีอำนาจในการไปเพิ่มงบประมาณ แต่มีหน้าที่เรื่องตัดทอนการใช้จ่ายงบประมาณ ส่วนจะตัดทอนงบประมาณตรงนี้หรือไม่ คำตอบคือถ้าดูแล้วไม่มีความจำเป็นก็คงตัด คำถามถัดมาคือถ้าตัดโครงสร้างนี้ไปแล้วศาลาจะใช้ได้หรือไม่ ต้องถามสังคมว่าควรจะเอาศาลานี้ทิ้งหรือไม่ หรือจะให้ศาลานี้มีโครงสร้างหลังคาที่ทึบเพื่อไม่ให้ร้อนและใช้ได้ หากหลังคาเป็นแบบทึบหรือใช้แผ่นเมทัลชีทมาแปะ มองว่าราคาคงไม่ถึง 100 ล้านบาท แต่จะน่าเกลียดหรือไม่สำหรับสัปปายะสภาสถาน

“ถ้าถามผม ผมมองว่าต้องถามสังคมว่าต้องการให้มีศาลานี้หรือว่ารื้อศาลาออก ถ้ารื้อศาลาออกงบประมาณยิ่งสิ้นเปลืองกว่าเดิมจริงไหม ถ้าให้ศาลานี้ใช้ประโยชน์ได้ ผมมองว่าเปลี่ยนแค่หลังคาให้มันทึบแล้วมันก็ใช้ประโยชน์ได้”

นายอลงกต กล่าวต่อไปว่า อีกกรณีคือตัวสระมรกต คำถามคือมันสมประโยชน์หรือไม่ในการใช้ประโยชน์ ถ้าดูแล้วไม่สมประโยชน์และมีที่มาที่ไปชัดเจน วุฒิสมาชิกไม่มีหน้าที่ไปเพิ่มหรือเปลี่ยนแปลงงบประมาณ มีหน้าที่แค่ตัดทอนงบประมาณ

...

ส่วนที่มีการตั้งคำถามว่าศาลาแก้วสามารถปรับปรุงได้ แต่ไม่ควรสูงถึง 123 ล้านบาทนั้น นายอลงกต ระบุว่า คำถามคือจะปรับปรุงแบบไหนต้องไปคุยกับฝ่ายที่เสนอของบฯ แต่ในความเห็นส่วนตัวคือแค่เปลี่ยนหลังคาพอหรือไม่ให้สามารถใช้ได้ แต่คำถามถัดมาคือเมื่อเปลี่ยนหลังคาที่เป็นตัวกระจกมาเป็นวัสดุทึบแสงตัวรองรับหลังคา หรือคานที่รับน้ำหนักต้องเปลี่ยนตามหรือไม่ แต่ตนไม่เห็นด้วยกับการรื้อ มองว่าต้องได้ประโยชน์โดยใช้งบประมาณน้อยที่สุด เพราะหลังคาอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ใครผ่านไปมาก็ดูเป็นความสวยงาม ต้องคงเอกลักษณ์ให้ได้โดยที่สมประโยชน์และมีความประหยัด

สำหรับข้อวิจารณ์ที่ว่ารัฐสภาสร้างตามแนวคิดไตรภูมิพระร่วง แต่ไม่สามารถใช้งานจริงได้นั้น นายอลงกต ระบุ นิยามว่าโครงสร้างแบบสมัยสุโขทัย หลังคาไทยสมัยนั้นยังไม่มีเป็นแบบเพิง แต่หลังคานี้มีมาตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลายถึงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ย้ำว่าความเห็นของตนคือถ้ารื้อจะสิ้นเปลืองงบประมาณเพิ่มเติมหรือไม่ และจะทำอะไรต่อ ส่วนตัวยืนยันว่าให้คงศาลาไว้ แต่ถ้าทำให้ประหยัดงบที่สุดคือเปลี่ยนหลังคาเป็นทึบ ไม่ร้อน สามารถใช้ประโยชน์ได้

ส่วนกรณีงบสร้างโรงหนัง 4D นั้นคุ้มค่าหรือไม่ นายอลงกต เผยว่า เรื่องโรงหนังตนยังไม่เห็นรายละเอียดยังไม่สามารถตอบได้ แต่ความเห็นส่วนตัว ตอนนี้เวลาสัมมนาของสภาฯ ก็ใช้ห้องชั้นล่าง พอหรือไม่ก็ต้องถามว่าเวลาจัดสัมมนาระหว่างไปใช้โรงแรมข้างนอก กับใช้พื้นที่ในสภาฯ อันไหนสมประโยชน์กว่า อยู่ที่การพิจารณาตามความเหมาะสม

ขณะที่หากมองในภาพรวมรัฐสภาเพิ่งเปิดใช้มาไม่กี่ปี มีข้อกังขาว่าใช้งบประมาณมากมายในการปรับปรุง มีความจำเป็นแล้วหรือไม่ นายอลงกต ตอบว่า เมื่อก่อนสมัยยังไม่เป็น สว. ตนเดินผ่านสภาฯ นึกว่าเป็นวัดก็ยกมือไหว้ เพิ่งมารู้ว่าเป็นสภาฯ แต่ก็ต้องถามว่ามันเป็นที่เชิดหน้าชูตาของสังคมหรือไม่ ต้องชั่งน้ำหนักเป็น 2 ฝั่ง ระหว่างความสวยงามเชิดหน้าชูตาและการใช้ประโยชน์ที่สัมฤทธิ์ผล อันไหนมากกว่ากันต้องให้สังคมพิจารณาจะเลือกอันไหน

“ตอนนี้เศรษฐกิจแย่มาก คุณรับสภาพกันอยู่ ณ เวลานี้ผมเห็นด้วยกับหลักการของผู้นำฝ่ายค้านที่เห็นว่าควรตัดงบประมาณบางอย่างไม่จำเป็นออกไป ถ้าถามความเห็นส่วนตัวปีนี้ไม่ใช้ได้หรือไม่ ใช้ปีหน้า เศรษฐกิจดีค่อยว่ากันดีกว่า เพราะตอนนี้เศรษฐกิจแย่มากจริงๆ”

ส่วนเรื่องงบประมาณสำหรับคอร์สอบรมภาษาจีนของ สว. นั้น นายอลงกต เผยว่า งบประมาณ 2 ล้านกว่าบาท ตนก็ไปตรวจสอบเบื้องต้นว่าเกิดจากอะไร ย้ำว่าไม่ใช่งบฯ ที่ไปดูงานที่ประเทศจีนทั้งหมด มีประมาณ 10 คน ที่ผลการเรียนดี ซึ่งเป็นการเชิญจากรัฐบาลจีน ผ่านสถาบันขงจื้อที่ออกค่าที่พักและค่าอาหารให้ทั้งหมด ส่วนค่าเครื่องบิน สว. ต้องออกเองจาก สว. เกือบ 50 คนที่มาเรียน ส่วนงบฯ 2 ล้านกว่าบาท เฉพาะแค่ค่าอบรมที่อยู่ในสำนักงานเลขาธิการ วุฒิสภาเท่านั้น ซึ่งตนกำลังตรวจสอบว่าทำไมใช้งบฯ เยอะ ส่วนตัวเดาว่าน่าจะเป็นค่าวิทยากร

นอกจากนี้ การที่ไม่ได้ให้เจ้าหน้าที่สภาฯ มาเรียนแทน จะกลายเป็นว่ามาเรียนในเวลาราชการ ต้องปลีกเวลามาเรียนในเวลาราชการ แต่ใน สว. เกือบ 50 คน บางคนก็ไม่ได้มาครบทุกวัน มาเท่าที่มาได้เพราะติดประชุม ซึ่งจะมีการเช็กว่าใครมาสม่ำเสมอ บางทีเป็นเรื่องของข้าราชการประจำที่ไม่สามารถมาอบรมได้เพราะอยู่ในเวลาราชการ อย่างกรณี สว. ที่อยากไปทดสอบภาษาอังกฤษก็บอกว่าเฉพาะข้าราชการประจำ