“โอกาสไทยกับนายกแพทองธาร” ตอนพิเศษ ยัน รัฐบาลเตรียมความพร้อมอย่างหนักรับมือกำแพงภาษีสหรัฐฯ ลั่น รับไม่ได้หากไม่มีคำตอบเรื่องตึก สตง. ถล่ม ย้ำ MOODY’s ไม่ได้ลดอันดับความน่าเชื่อถือไทย

วันที่ 4 พฤษภาคม 2568 นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “โอกาสไทยกับนายกแพทองธาร” ตอนพิเศษ สร้างโอกาสในวิกฤต สร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน และนักลงทุน ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย NBT2HD และวิทยุเครือข่ายกรมประชาสัมพันธ์ทั่วประเทศ โดยนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญที่นายกรัฐมนตรีกล่าวในรายการประจำเดือนพฤษภาคม ดังนี้

นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการรับมือแผ่นดินไหวครั้งแรกของประเทศไทย เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา ว่า ตอนนั้นอยู่ จ.ภูเก็ต กำลังประชุมกับส่วนราชการติดตามเรื่องคมนาคม ทันทีที่ทราบเหตุการณ์แผ่นดินไหวก็ได้สั่งปิดประชุม และเปิดประชุมด่วนเพื่อแก้ปัญหาผลกระทบจากเหตุแผ่นดินไหว ผ่าน Zoom กับผู้บริหารหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และได้ประกาศภาวะฉุกเฉินในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ต้องยอมรับว่าไทยยังไม่เคยรับมือกับสถานการณ์แผ่นดินไหวอย่างจริงจังมาก่อน จึงต้องให้ความรู้ในการรับมือกับสถานการณ์ ขณะเกิดสถานการณ์แผ่นดินไหวก็ประสานงานติดต่อกับผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครและปลัดกรุงเทพมหานคร รวมถึงส่วนราชการสำคัญที่เกี่ยวข้องทั้งกระทรวงมหาดไทยและกองทัพ พร้อมสั่งกองทัพอำนวยความสะดวกในการเดินทางประชาชน โดยเร่งนำประชาชนออกจากพื้นที่เสี่ยง เรื่องอำนวยการก็มอบหมายให้กรุงเทพมหานครเป็นส่วนหน้าขึ้นตรงกับกระทรวงมหาดไทย เร่งดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง

วันต่อมาได้เรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาประชุมหารือการส่ง sms แจ้งเตือนภัย ซึ่งวันเกิดเหตุแผ่นดินไหว sms ไม่สามารถส่งแจ้งเตือนประชาชน จากการทดลองสามารถส่ง sms ได้แค่ 1,000 หมายเลขเท่านั้น แต่ต้องใช้เวลาประมาณ 5-6 ชั่วโมง sms จะส่งถึงประชาชน เป็นเรื่องที่ต้องปรับปรุงอย่างเร่งด่วน โดยให้บูรณาการการทำงานทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กำหนดมาตรการ กระบวนการ พร้อมออกแบบข้อความ รวมถึงข้อปฏิบัติหากเกิดแผ่นดินไหว หรือเกิดสถานการณ์ฉุกเฉินต่างๆ ขึ้น จำเป็นต้องทบทวนใหม่ทั้งหมด ทำให้ง่ายที่สุด เพื่อให้เกิดความผิดพลาดน้อยที่สุด หากเกิดเหตุคับขันข้อความฉุกเฉินต้องเป็นข้อความที่มีประโยชน์ ถูกต้อง และทันที ผ่านทาง Cell Broadcast ไปยังมือถือของประชาชนในพื้นที่ที่กำหนด ไม่ใช่แจ้งเตือนแผ่นดินไหวเท่านั้น ยังใช้สถานการณ์น้ำท่วม หรือเหตุความไม่สงบด้วย ส่งครั้งเดียวสามารถกระจายไปถึงประชาชนได้ทีละหลายล้านคน

...

รับไม่ได้หากไม่มีคำตอบเรื่องตึก สตง. ถล่ม

ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวถึงความคืบหน้าการตรวจสอบหาข้อเท็จจริงกรณีตึกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ถล่ม ว่า ได้สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการหาความเท็จจริง โดยหารือกับกรมโยธาธิการและผังเมืองว่า จะทราบคำตอบที่แท้จริงเหตุผลของเหตุการณ์ตึกถล่มได้อย่างไร ซึ่งต้องมีการจำลองเหตุการณ์จาก 4 สถาบันร่วมกับกรมโยธาธิการฯ นำข้อมูลจากการทดลองมาเปรียบเทียบข้อมูล เพื่อหาข้อมูลที่แท้จริงถึงสาเหตุ ตึกเดียวถล่ม มีคนเสียชีวิตจำนวนมาก ทั้งหมดจะต้องใช้เวลาประมาณ 90 วัน สำหรับตนรู้สึกว่าใช้เวลานานในการหาคำตอบ

“เรื่องนี้ดิฉันรับไม่ได้หากจะไม่มีคำตอบในเรื่องนี้ ซึ่งได้มีการติดตามอย่างใกล้ชิด ได้มีการกำชับกับตำรวจและกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ว่า ถ้าในกระบวนการหากมีความผิดตั้งแต่การอนุมัติ การอนุญาต และการถูกออกแบบขึ้นมา ถ้าผิดก็ต้องถูกดำเนินคดี ยังไม่ต้องพูดเรื่องตึกถล่ม และตึกอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้มีการตรวจสอบเช่นกัน อยากให้มีพื้นฐานที่เป็นมาตรฐานที่ดีของประเทศ และตึกที่สร้างใน กทม. ด้วยข้อจำกัดของกฎต้องสามารถรองรับแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นได้”

นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อไปถึงการลงพื้นที่หลังจากเหตุการณ์ตึก สตง. ถล่ม ญาติของผู้สูญหายชาวเมียนมาเข้ามา บอกว่าช่วยด้วย เขากังวลว่าคนในครอบครัวหายไปในประเทศอื่นที่ไม่ใช่ประเทศของเขา ในฐานะนายกรัฐมนตรี ตนเองบอกว่ารัฐบาลจะช่วยอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นคนเมียนมาหรือคนไทย เพราะทุกคนคือคน ต้องช่วยกันสุดความสามารถอย่างเต็มที่ โดยผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเป็นผู้รับผิดชอบอยู่หน้างาน การค้นหาผู้สูญหายยังมีการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ขณะนี้พบจำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มมากขึ้น ทุกคนพยายามเคลียร์ไซต์งานให้หมด คาดว่าใกล้จะเสร็จแล้วไม่เกิน 1 สัปดาห์ พยายามทำอย่างเต็มที่เพื่อให้ญาติผู้เสียชีวิตนำร่างกลับไปทำพิธีที่ตามที่นับถือหรือศรัทธาต่อไป

“หากเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวอีกครั้ง ซึ่งไม่สามารถรู้ล่วงหน้าได้ แต่ถ้ามีเหตุการณ์แบบนี้รัฐบาลได้รองรับไว้หมดแล้วว่าจะทำอย่างไร ประชาชนต้องปฏิบัติตัวอย่างไร โดยมีขั้นตอนการแจ้งเหตุ ขั้นตอนในการเอาตัวรอดรักษาชีวิต รัฐบาลเตรียมพร้อมทั้งหมด ทุกระบบถูกจัดการถูกวางแผนไว้อย่างดีและรัดกุม”

รัฐบาลเตรียมพร้อมเจรจากำแพงภาษีสหรัฐฯ

ในประเด็นเรื่องกำแพงภาษีของประเทศสหรัฐอเมริกา นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้หารือร่วมกับทีมกฎหมาย ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจ ผู้เชี่ยวชาญระหว่างประเทศ และผู้เชี่ยวชาญด้านสหรัฐอเมริกา ซึ่งเริ่มพูดคุยกันตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้ว และมีการตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพื่อเตรียมรับมือกับประเด็นการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ โดยรายละเอียดต่างๆ เตรียมพร้อมมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กๆ เช่น สินค้าเกษตรที่ไทยส่งออกหรือนำเข้าจากสหรัฐฯ เราได้ตรวจสอบทั้งในส่วนของภาษีที่แต่ละฝ่ายเก็บซึ่งกันและกัน รวมถึงกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อดูว่าจะสามารถช่วยเหลือผู้ประกอบการของได้อย่างไร

เหตุผลที่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ เนื่องจากเมื่อคนไทยไปทำธุรกิจในสหรัฐฯ จะต้องเผชิญกับระบบการค้าแบบเต็มรูปแบบ เช่น หากนักลงทุนไทยได้ลงทุนสร้างโรงงานปลากระป๋องและดำเนินการผลิตแล้ว รัฐบาลสามารถเข้าไปสนับสนุน เพื่อขยายหรือต่อยอดได้ทันที โดยไม่ต้องเริ่มต้นจากศูนย์ มองว่าเป็นโอกาสที่สามารถใช้ศักยภาพของคนไทยที่มีพื้นฐานอยู่แล้ว ในการขยายธุรกิจไทยในต่างประเทศ ส่วนภาคอุตสาหกรรม รัฐบาลต้องเตรียมความพร้อมเรื่องข้อมูลการนำเข้า-ส่งออก และภาษีสินค้าต่างๆ อย่างรอบคอบ บางรายการพบว่าภาษีที่สหรัฐฯ เก็บจากไทยนั้นสูงกว่าที่เก็บจากประเทศอื่น จึงเป็นเรื่องที่ต้องเจรจาและวางแผนอย่างละเอียด รวมทั้งต้องหารือกับภาคเอกชนเพื่อให้มั่นใจว่าหากรัฐบาลมีการปรับเปลี่ยนนโยบายหรือกฎระเบียบต่างๆ ภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องจะต้องปรับตัวและดำเนินงานต่อได้อย่างเหมาะสม

นอกจากนั้น รัฐบาลยังได้มีการพูดคุยกับกลุ่มประเทศในกลุ่มอาเซียน เช่น มาเลเซีย กัมพูชา เพื่อหารือถึงแนวทางความร่วมมือในระดับภูมิภาค โดยกลุ่มอาเซียนมีความพร้อมทั้งทรัพยากรธรรมชาติ และทรัพยากรมนุษย์ รวมถึงมีประชากรกว่า 600 ล้านคน คิดเป็น 1 ใน 10 ของประชากรโลก ซึ่งถือว่าเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ หากสามารถรวมพลังกันได้ ก็จะเพิ่มอำนาจต่อรองเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ รัฐบาลได้มีการหารือร่วมกับสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐอเมริกา (USTR) ถึงความต้องการของสหรัฐฯ โดยได้มีการเจรจาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เกิดความคุ้มค่าทั้งสองฝ่าย บางกรณีก็ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ทันที เนื่องจากอาจกระทบการต่อรองกับประเทศอื่นๆ แต่ขอยืนยันว่ารัฐบาลมีการเตรียมพร้อม และมีแนวทางรองรับอย่างชัดเจน รวมถึงติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อผลประโยชน์ของประเทศไทย

ย้ำ MOODY’s ไม่ได้ลดอันดับความน่าเชื่อถือไทย

ส่วนกรณีบริษัท มูดีส์ (MOODY’s) ซึ่งเป็นสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือทางการเงิน ได้แสดงความเห็นในรูปแบบของมุมมอง (Outlook) ต่อประเทศไทย ไม่ใช่การลดอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit) ทั้ง 2 อย่างมีความหมายที่แตกต่างกัน โดยมูดีส์ประเมินว่าโอกาสในการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยอาจลดลง เพราะว่ามีตัวแปรของมุมมองที่เพิ่มมากขึ้น คือ กำแพงภาษีของทรัมป์ ซึ่งการแสดงมุมมองดังกล่าวไม่ได้หมายความว่าความน่าเชื่อถือของประเทศไทยลดลง โดยรัฐบาลจะรับฟังความคิดเห็นดังกล่าว พร้อมเดินหน้าผลักดันการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง โดยมีการลงทุนที่เกิดขึ้นแล้วในหลายภาคส่วน เช่น อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ และการเข้ามาของบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก สะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนทั่วโลกยังคงมองว่าไทยมีศักยภาพและโอกาสในการเติบโตทางเศรษฐกิจ

ทางด้านโครงการกองทุนหมู่บ้านที่คนไทยรู้จักกันดี โครงการ “เอสเอ็มแอล” นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เป็นโครงการที่กระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น รัฐบาลต้องการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น เพราะท้องถิ่นแต่ละพื้นที่ต่างรู้ปัญหาของตนเองดีที่สุด ฝ่ายบริหารจะเป็นฝ่ายที่สนับสนุน ที่สำคัญคือท้องถิ่นต้องเป็นผู้ระบุปัญหาของตนเอง ซึ่งเอสเอ็มแอลเป็นโครงการที่ทำให้คนในหมู่บ้านมารวมตัวกันทำประชาคม หรือที่เรียกว่าการโหวต ว่าโครงการไหนคนในหมู่บ้านต้องการทำด้วยกัน โดยให้เสนอโครงการมาเช่นโครงการ A B C ให้คนในหมู่บ้านมาโหวตร่วมกันว่าอะไรควรจะมาก่อน

รัฐบาลมีงบสนับสนุนให้ ซึ่งขนาดเอสเอ็มแอลขึ้นอยู่กับประชากรว่ามีกี่คน 2 แสนบาท, 3 แสนบาท และ 4 แสนบาท ตามจำนวนประชากรในชุมชนนั้น สมมติว่าได้งบประมาณ 3 แสนบาท แล้วจะทำอะไร อาทิ เครื่องอัดฟาง เพื่อทำเป็นฟางก้อน แล้วนำไปขาย โดยซื้อ 3 เครื่อง 3 แสนบาท หรือซื้อ 1 เครื่อง 1 แสนบาท แล้วเหลืออีก 2 แสนบาท นำไปทำอย่างอื่นในชุมชน หากทำประชาคมกันแล้วเห็นตรงกันก็สามารถดำเนินการได้เลย เป็นสิ่งที่รัฐต้องการกระจายอำนาจสู่ชุมชนจริงๆ ให้ประชาชนได้คิดกันจริงๆ ว่า หมู่บ้านของเราต้องการอะไร หรือจะนำงบฯ ไปใช้ในเรื่องอุปโภคบริโภค สาธารณูปโภคก็ได้ เช่น หมู่บ้านควรมีน้ำสะอาด เป็นต้น ขอเชิญชวนให้ประชาชนร่วมกันเสนอโครงการผ่านกองทุนหมู่บ้านฯ

สำหรับโอดอส (ODOS) ซึ่งเป็นโครงการที่เพิ่มศักยภาพให้กับเด็กและเยาวชนนักเรียนนิสิตนักศึกษาได้เปิดโลกทัศน์ นายกรัฐมนตรี ระบุว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติออกสลากการกุศล วงเงิน 5.3 พันล้านบาท ส่งเสริมการศึกษาให้กับนักเรียน โดยขอให้โหลดแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” และรีบสมัคร เพราะใกล้ปิดรับสมัครแล้ว โครงการโอดอส ซัมเมอร์แคมป์ เป็นการกระจายโอกาสให้เพิ่มมากขึ้นโดยไม่จำเป็นจะต้องเป็นนักเรียนที่สอบได้ที่ 1 ก็สามารถไปเรียนที่ต่างประเทศได้เป็นคอร์ส

อย่างไรก็ตามในช่วงท้ายของรายการ นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงภาพถ่ายในโทรศัพท์มือถือ โดยภาพแรกเป็น สมเด็จฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรี ในขณะที่มายืนรอส่งกลับ รู้สึกประทับใจและการพบกัน เป็นการพูดคุยที่ง่ายๆ แต่ได้ประสบการณ์มาก พร้อมได้เล่าความประทับใจช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา ได้ถ่ายรูปคู่กับมาสคอตเด็กผู้ชายถือปืนฉีดน้ำที่มีหน้าตาคล้ายกับลูกชาย ด.ช.พฤจ์ธาษิณ สุขสวัสดิ์ หรือ น้องธาษิณ รวมทั้งเล่าถึงคลิปวิดีโอเยาวชนเล่นดนตรีที่ อำเภอนาหว้า จังหวัดนครพนม ขณะที่ลงพื้นที่ดูงานเรื่องผ้าไทย ซึ่งผ้าไทยนั้นมีอัตลักษณ์ มีลวดลายที่น่าสนใจ

“ต้องขอบคุณทุกท่านที่ได้ติดตามรายการ ซึ่งวันนี้ได้เล่าหลายเรื่องเนื่องจากหายไป 1 episode พยายามเล่าให้ครบและจะมาให้ได้บ่อยๆ ทุกๆ episode เพื่อให้ประชาชนได้รับทราบว่ารัฐบาลกำลังทำอะไรนำโอกาสมาถึงประชาชนในรูปแบบใหม่กันบ้างซึ่งเป็นสิ่งที่อยากทำให้ต่อเนื่อง”