มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ร่วมกับ องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) มูลนิธิเพื่อ “คนไทย” เผยผลสำรวจประชาชนต่อการเลือกตั้งเทศบาล ยังห่วงซื้อเสียงหนัก จี้ กกต. คุมเข้ม พร้อมชูนโยบาย “1 สิทธิ์ พลิกชีวิตมหาศาล”

วันที่ 2 พ.ค. 2568 มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ร่วมกับ องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) มูลนิธิเพื่อ “คนไทย” รศ.ดร.เสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์ที่ปรึกษาประจำสภามหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และภาคีเครือข่ายร่วมกันแถลงผล “สำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลและนายกเทศมนตรี” 

จากกลุ่มเป้าหมาย: ประชาชน จำนวน 1,020 ตัวอย่างทั่วประเทศ (สำรวจระหว่างวันที่ 16-25 เมษายน 2568) ประกอบด้วย กลุ่มประชาชนทั่วไปผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง จำนวน 711 ตัวอย่าง และกลุ่มประชาชนที่ยังไม่มีสิทธิ์เลือกตั้ง (อายุ 15 ปี) จำนวน 309 ตัวอย่าง

รศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ระบุว่าเป็นครั้งแรกที่มหาวิทยาลัยทำงานกับภาคีภาคสังคมโดยเริ่มขยายขอบเขตการต่อต้านคอร์รัปชันลงถึงฐานหน่วยเลือกตั้งหน่วยแรก เริ่มจากการเลือกตั้ง อบจ. ซึ่งเป็นหน่วยสำคัญพื้นฐานในระดับพื้นที่หรือจังหวัด รวมทั้งเทศบาลเป็นกำลังสำคัญทางการเมือง เป็นหน่วยเศรษฐกิจสังคมในระดับจุลภาค หรือระดับย่อย เชื่อมต่อถึง อบต. ถ้าเราต่อซีรีส์ผลสำรวจลักษณะนี้ได้ และก่อนจะถึง สส. เราจะเห็นพัฒนาการระบบแนวคิด ทัศนคติประชาชนที่มีต่อระบบเลือกตั้ง เราจะเริ่มเห็นพัฒนาการเปลี่ยนแปลงเพราะเราทำงานวิชาการระดับประเทศ

...

หวังน้ำใสไล่น้ำเสีย

จากผลสำรวจทั้งสองกลุ่มเป้าหมายชัดเจนว่า ประชาชนมองว่าการโกงเป็นสิ่งไม่ดี พร้อมจะปฏิเสธคนไม่ดี ถ้าได้ทราบประวัติหรือข้อบกพร่อง จะเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจเลือก แต่น่าเสียดายที่ผลเลือกตั้งที่ออกมาทุกครั้งมีความล้มเหลวเกิดขึ้น ประชาชนจะตอบปานกลางกับน้อย แปลว่าไม่ว่า ไม่โปร่งใส ผลสำรวจบอกซื้อเสียง 1,100 บาทต่อหัว แต่ในสนามจริง 2,000 บาทก็มี จึงขอฝาก กกต. ด้วย

“สำหรับเยาวชนอายุ 15-17 ปี ยังไม่มีสิทธิเลือกตั้ง ชัดเจนว่า เน้นความโปร่งใสอันดับ 1 ขณะที่ประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไป ให้ความสำคัญเรื่องนี้ลำดับท้ายๆ ทำให้ภาคีและมหาวิทยาลัยเห็นร่วมกันว่า ยังมีความหวังกับคนรุ่นใหม่ เอาเด็กมาเติมน้ำใสไล่น้ำเสีย”

จี้ กกต. สกัดซื้อเสียงให้ได้

รศ.ดร.ธนวรรธน์ กล่าวด้วยว่า ผลสำรวจชัดเจนว่าประชาชนปฏิเสธผู้นำองค์กรที่ไม่ซื่อสัตย์ไม่สุจริตและพร้อมจะร่วมมือทุกภาคส่วนในการกำจัดคอร์รัปชันให้สิ้น ไม่ยอมรับผู้นำที่ไม่โปร่งใสแต่ทำผลงาน ส่วนแนวทางในอนาคต ตัวเลข CPI ไทยอันดับ 108 คะแนน 34 คะแนน ในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา เราไม่เคยได้ 40 คะแนน ทำไมเวียดนามทำได้ 40 คะแนน เพราะเวลาเราพูดถึงขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ นักลงทุนจะมองเรื่องคอร์รัปชันเป็นสำคัญ ถ้าต้องจ่ายเงินจะไม่น่าสนใจในการลงทุน ในขณะที่เวียดนามมีเสน่ห์ในการลงทุน ดังนั้น การที่ในระดับท้องถิ่นยังมีการซื้อเสียง มีการทุจริตและน่าจะมีเงินสะพัดมาก ยิ่งหากมีการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจการเมืองหลัง พ.ค. ตัวเลขเงินสะพัดน่าจะมากกว่านี้ คาดหวังว่ากกต.น่าจะทำงานเข้มข้นขึ้นในการสกัดการซื้อเสียง เพื่อให้ได้คนโปร่งใส การสำรวจเทศบาลจึงสำคัญในอันดับต้นๆ เพราะเป็นการเลือกตั้งในระดับพื้นฐาน ถ้ามีการทุจริตในการเลือกตั้งระดับนี้ การเลือกตั้งระดับอื่นย่อมจะมีตามมาด้วย

ส่วนใหญ่ไม่พอใจผู้บริหารเทศบาล

ขณะที่ นายวิเชียร พงศธร ประธานกรรมการมูลนิธิ “เพื่อคนไทย” กล่าวว่าผลสำรวจระบุว่า ประชาชนในเขตเทศบาลต่างๆ รับทราบและไม่ยอมรับคนโกง ประชาชนทราบว่ามีการทุจริตคอร์รัปชันกว้างขวาง และทราบว่าการทุจริตมีผลต่อมิติต่างๆ ในชีวิตความเป็นอยู่ จึงไม่พอใจกับผลงานของผู้บริหารเทศบาลในอดีต พอใจน้อยมาก ปานกลาง และไม่พอใจเป็นส่วนมาก ทราบด้วยว่ามีการทุจริตและจะให้สตางค์ แต่คราวนี้บอกว่า ผมจะไม่เลือกคนไม่โกง แสดงว่า ประชาชนไม่พอใจสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต มีพอใจไม่ถึง 10% ถ้าผมเป็นผู้บริหารองค์กรทำได้ประมาณนี้ ผู้ถือหุ้นคงให้ผมออก

หวังเยาวชนพัฒนาปชต.

นายวิเชียร กล่าวว่า เมื่อเลือกตั้งเสร็จแล้ว ประชาชนยังอยากมีส่วนร่วมติดตาม ตรวจสอบ รู้จักการเข้าถึงช่องทางข้อมูล ACT Ai หมาเฝ้าบ้าน “ผมว่าเป็นนิมิตหมายที่ดีมาก ที่ผ่านมา มีการลงโทษเอาผิดกับผู้รับตำแหน่งในท้องถิ่นมีมากพอสมควร นับเป็นปรากฏการณ์ที่ดี สิ่งเหล่านี้ เรารับทราบและไม่ยอมรับ” งานสำรวจฯ นี้เป็นส่วนหนึ่งในโครงการชื่อ “1 สิทธิ์พลิกชีวิตมหาศาล” ที่มีภาคสังคมหลายองค์กรทำร่วมกัน อยากเชิญชวนประชาชนว่าท่านไปใช้สิทธิ์ แต่หากว่าไม่มีตัวเลือก ก็ไปกาโนโหวต คราวหน้าหวังว่า ท่านจะมีโอกาสได้คนดี ทำงานด้วยความโปร่งใส พัฒนางานท้องถิ่นให้ดีขึ้น ก็คือชีวิตของประชาชนจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งคราวนี้อาจไม่กล้าหวังผลเลิศ เรามีความหวังกับเยาวชนอายุ 15-17 จะเข้ามาร่วมพัฒนาความเป็นประชาธิปไตยของเราให้เข้มแข็งได้ แม้โอกาสไม่ได้เกิดขึ้นครั้งเดียวหรือเกิดขึ้นเร็ว แต่เราจะเห็นพัฒนาการในระบบประชาธิปไตยที่ให้ความหวังและเราต้องเรียนรู้ต่อไป

ชู 1 สิทธิ์พลิกชีวิตมหาศาล

ด้าน ดร.มานะ นิมิตรมงคล ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) กล่าวว่า รูปแบบการโกง พฤติกรรมการโกงในภาครัฐและในท้องถิ่นไม่แตกต่าง และมีผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ สาธารณูปโภค โครงสร้างพื้นฐานของประเทศ จากผลสำรวจนี้ เป็นเรื่องดีที่ได้เห็นข้อมูลความเห็นของประชาชนในพื้นที่จริงๆ การเลือกตั้ง อบจ. ก่อนหน้านี้ เราก็มีผลวิจัยสะท้อนให้เห็นผลกระทบการทุจริตต่อประชาชนในหมู่บ้าน และชัดเจนว่า ประชาชนอยากเห็นการเปลี่ยนแปลง เลือกตั้งครั้งนี้ เทศบาลทั่วประเทศสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้มาก หากประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งเปลี่ยนวิธีการตัดสินใจเลือกตั้ง ไม่ยอมแลกการซื้อสิทธิ์ขายเสียง ในการเลือกตั้งครั้งนี้ ขอให้ยึดหลัก 1 สิทธิ์พลิกชีวิตมหาศาลก็จะเป็นการสร้างแนวพัฒนาที่ดีทางการเมือง สิ่งที่ทำได้ ACT และภาคีพยายามเผยแพร่ข้อมูลเหล่านี้ไปถึงระดับชุมชนเพื่อให้เข้าใจมากขึ้น

คาดเงินสะพัดเฉียด 4 หมื่นล้าน

จากนั้นได้เปิดโอกาสให้สื่อมวลชนได้ซักถาม โดยมีคำถามว่าการเลือกตั้งเทศบาลครั้งนี้ เทียบกับ อบจ. ก่อนหน้านี้ และเลือกตั้งใหญ่มีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร รศ.ดร.ธนวรรธน์ กล่าวว่าเทียบกับ อบจ. เป็นมูลค่าใกล้เคียงกันคือมีเงินสะพัด 2-4 หมื่นล้านบาท ส่วนเลือกตั้งระดับประเทศ เงินสะพัด 3-5 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นการประเมินทางวิชาการ หากมีอุบัติเหตุทางการเมือง การวางรากฐานทางการเมืองท้องถิ่นและการเชื่อมโยงจังหวัดจะยิ่งทำให้เม็ดเงินสะพัดสูงขึ้น

ผิดหวัง กกต. จับทุจริตได้น้อย

ขณะที่ ดร.มานะ กล่าวเสริมว่า เป็นที่น่าสนใจ สำหรับเงินซื้อเสียงในการเลือกตั้งท้องถิ่น เดิม อบจ. 700-800 บาท ต่อหัว แต่ครั้งนี้ หน่วยเลือกตั้งเล็กลง จำนวนเงินซื้อเสียงจะมากขึ้น ในระดับ อบต. ที่มีงบลงทุนหรือมีผลประโยชน์สูง หรือแหล่งท่องเที่ยว อัตราการซื้อเสียงจะมีผลประโยชน์มากขึ้น บางจุดพุ่งไป 10,000 กว่าบาท แต่แง่การดำเนินคดี น่าผิดหวัง หน่วยงาน กกต. นำจับ นำคนผิดมาลงโทษได้น้อยมาก ประชาชนรู้ดีว่า พื้นที่ตรงนั้นมีการซื้อเสียง ครั้งนี้ก็มีอีกแต่น่าผิดหวังที่ กกต. จับคนผิดมาลงโทษได้น้อยมาก หวังว่า ความตื่นตัวของประชาชนจะช่วยกันเฝ้าระวัง บันทึกหลักฐาน แชร์ในโซเชียลมีเดียจะช่วยกระตุ้นให้ กกต. ทำงานได้มากขึ้น