ครม. อนุมัติงบ 355 ล้าน เร่งแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างพื้นฐานแม่น้ำปิง-แม่น้ำกก รับมือเหตุอุทกภัยก่อนเข้าฤดูฝน พร้อมทั้งไฟเขียวงบ 400 ล้าน พัฒนากลุ่มจังหวัดอีสานตอนบน และอนุมัติงบกลางให้ อว. ดำเนินโครงการใน รพ.สมเด็จพระยุพราช 5 แห่ง
วันที่ 29 เมษายน 2568 ที่หอประชุมอนุภาคลุ่มน้ำโขง มหาวิทยาลัยนครพนม จ.นครพนม น.ส.ศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในตอนหนึ่งว่า ครม. มีมติอนุมัติงบกลางปี 2568 รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างพื้นฐานแม่น้ำปิงและแม่น้ำกก ระยะเร่งด่วน ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดเชียงราย วงเงิน 355.33 ล้านบาท ให้แก่กองบัญชาการกองทัพไทย ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยอย่างเร่งด่วน ก่อนที่จะเข้าสู่ฤดูฝน
ขณะเดียวกัน ครม. ยังได้รับทราบผลการประชุมบูรณาการร่วมภาครัฐและเอกชน เพื่อพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 2 (นครพนม สกลนคร และมุกดาหาร) เมื่อวันที่ 17 และ 28 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา พร้อมกับเห็นชอบในหลักการโครงการของจังหวัด และกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 2 จำนวน 4 โครงการ กรอบวงเงิน 200 ล้านบาท โดยให้จังหวัดและกลุ่มจังหวัด ขอรับการจัดสรรจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2568 งบกลาง สำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น และให้สำนักงบประมาณพิจารณาความพร้อม ความคุ้มค่า และความเหมาะสมของวงเงินตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
...
นอกจากนี้ ยังเห็นชอบในหลักการของโครงการที่เป็นข้อเสนอของจังหวัดและกลุ่มจังหวัดฯ ของภาคเอกชน (กรอ.กลุ่มจังหวัด) จำนวน 5 โครงการ กรอบวงเงิน 200 ล้านบาท โดยให้ส่วนราชการที่เป็นหน่วยงานเจ้าของโครงการ ขอรับการจัดสรรจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด และให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งจัดทำข้อเสนอโครงการ โดยให้ความสำคัญกับความคุ้มค่า และผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการใช้จ่ายงบประมาณอย่างรอบคอบ
น.ส.ศศิกานต์ กล่าวต่อไปว่า 4 โครงการของจังหวัดและกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 2 และ 5 โครงการที่เป็นข้อเสนอของจังหวัด และกลุ่มจังหวัดฯ ของภาคเอกชน (กรอ.กลุ่มจังหวัด) ประกอบด้วย
1. โครงการของจังหวัดและกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 2 ได้แก่ 1.1 โครงการกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 2 วงเงินงบประมาณ 50 ล้านบาท ได้แก่ โครงการพัฒนาพื้นที่และปรับปรุงภูมิทัศน์บริเวณริมแม่น้ำโขงเหนือเมืองนครพนมและพื้นที่ต่อเนื่อง อ.เมือง จ.นครพนม 1.2 โครงการสกลจังซั่นเมืองเศรษฐกิจสร้างสรรค์ จ.นครพนม วงเงินงบประมาณ 50 ล้านบาท 1.3 โครงการยกระดับการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศสู่การเชื่อมโยงระดับนานาชาติ จ.มุกดาหาร วงเงิน 50 ล้านบาท และ 1.4 โครงการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวอุทยานธรณีวิทยาและไดโนเสาร์ “Geo Park Center at Tha Uthen” จ.นครพนม วงเงินงบประมาณ 50 ล้านบาท
2. โครงการที่เป็นข้อเสนอของ กรอ.กลุ่มจังหวัด ได้แก่
2.1 โครงการด้านการพัฒนาพื้นที่และปรับปรุงภูมิทัศน์บริเวณริมแม่น้ำโขงและการยกระดับสู่เมืองมหานครแห่งพฤษเวศน์ เพื่อรองรับการท่องเที่ยววิถีชีวิตลุ่มแม่น้ำโขงเชิงสุขภาพ ในกรอบวงเงิน 50 ล้านบาท
2.2 โครงการติดตั้งและปรับปรุงไฟฟ้าแสงสว่างบนทางหลวง หมายเลข 2339 (ตอนศรีวิชา - กวนบุ่น ระหว่าง กม. 8+000 - กม. 35+500 เป็นช่วงๆ) และทางหลวงหมายเลข 2347 (ตอนธาตุนาเวง - สกลนคร ระหว่าง กม. 2+300 - กม. 5+200) วงเงิน 50 ล้านบาท
2.3 โครงการสร้างอัตลักษณ์เมือง (DNA) และ Marketing ภายใต้ 5 Must (Visit, Eat, Shop, Mu, Rest) งบประมาณ 20,000,000 บาท
2.4 โครงการยกระดับเทศกาลเรือไฟไทยสู่เรือไฟโลก งบประมาณ 50 ล้านบาท
2.5 โครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวตลาดและประชาสัมพันธ์กลุ่มจังหวัดสนุก (เที่ยวสนุกสุขสบาย) พร้อมปรับปรุงภูมิทัศน์บริเวณปากห้วยมุกและพื้นที่ต่อเนื่อง อำเภอเมืองมุกดาหาร จังหวัดมุกดาหาร งบประมาณ 50 ล้านบาท
ทั้งนี้ ครม. ยังมอบหมายให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาโครงการที่เป็นข้อเสนอของจังหวัดและกลุ่มจังหวัดฯ ของภาคเอกชน (กรอ.กลุ่มจังหวัด) ในส่วนที่เหลือจำนวน 21 โครงการ เพื่อบรรจุไว้ในแผนปฏิบัติราชการประจำปีของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและขอรับการจัดสรรงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป
ทางด้าน นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า ครม. จัดสรรงบกลางกรณีเร่งด่วนฉุกเฉินให้กับกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) เพื่อดำเนินการโครงการลดรักษาอัมพาตเคลื่อนที่เฉลิมพระเกียรติ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงโรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน ในโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช 5 แห่ง คือ หนองคาย สกลนคร อุบลราชธานี สระแก้ว และสุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นโครงการนำร่อง เนื่องจากโรคภาวะหลอดเลือดสมองอยู่ใน 3 อันดับแรกของดัชนีการสูญเสียของสุขภาพคนไทย ซึ่งจากสถิติปี 2560-2565 พบมีผู้ป่วยเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่การดำเนินโครงการระยะที่สองในปี 2569 จะทำในพื้นที่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชอีก 16 แห่ง.