“ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ” นำพรรคประชาชนประชุมใหญ่สามัญฯ 2568 ฟุ้งเลือกตั้งครั้งหน้า สร้างรัฐบาลที่ดีที่สุด ชี้ตัวอย่างตั้งเงื่อนไข ถ้าเพื่อไทยจะมาจับมือ โว ปชน. ไม่มีงูเห่าแน่นอน ขอรอฟังศาลฎีกาชี้คดีชั้น 14 “ทักษิณ” สิ้นเดือนนี้

วันที่ 27 เม.ย. 2568 ที่ดิ ไอเดิล โฮเทล แอนด์ เรสซิเดนซ์ จ.ปทุมธานี พรรคประชาชน (ปชน.) จัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2568 มีนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคปชน. เป็นประธานการประชุม พร้อมด้วย นายศรายุทธิ์ ใจหลัก เลขาธิการพรรค และกรรมการบริหารพรรค สส. รวมถึงสมาชิกพรรค ร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง นายศรายุทธิ์ เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า มีวาระการดำเนินการอาทิ ปรับปรุงข้อบังคับพรรค ปรับเรื่องงบการเงิน และการเตรียมความพร้อมการเลือกตั้งในอนาคต แบ่งออกเป็นสองส่วน คือ นโยบายต้องสอดคล้องกับความต้องการประชาชนในปี 2570 และการเตรียมผู้สมัครเรามีกระบวนการให้ผู้ประสงค์จะลงเลือกตั้งเข้ารับการคัดสรรได้ ซึ่งมีการเปิดการอบรมนักการเมืองของพรรคไปแล้ว ช่วงต้นเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา โดยเปิดต่อไปจนถึง 13 มิ.ย.

...

ด้านนายณัฐพงษ์ ระบุเน้นย้ำว่า เลือกตั้งครั้งหน้า โจทย์ประเทศไม่ได้ชนะเลือกตั้งอย่างเดียว แต่ทางออกสำหรับประเทศของพวกเราคือการเสนอรัฐบาลที่ดีที่สุด และสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน สิ่งสุดท้ายที่เชื่อว่าจะเป็นความหวังให้กับประชาชนได้คือนโยบายเศรษฐกิจ ซึ่งเคยเป็นจุดแข็งของพรรค พท. แต่ก็พิสูจน์แล้วว่าไม่สามารถสร้างทางออกให้กับประชาชนได้ ดังนั้น ก็พร้อมที่จะเสนอตัวอาสามาทำงานในจุดนี้ และเตรียมสื่อสารนโยบายด้านเศรษฐกิจ ตอนนี้ เห็นอยู่แล้วรัฐบาลที่มัดรวมจัดตั้งรัฐบาลด้วยดีลแลกประเทศแบบนี้ไม่ใช่ทางออก

เมื่อถามถึงบางกลุ่มมีการคาดหมาย เลือกตั้งรอบหน้าพรรคสีแดงจะมาจับมือกับพรรคสีส้ม นายณัฐพงษ์ ย้ำว่า ได้พูดไว้ชัดเจนแล้วว่า การจัดตั้งรัฐบาลแบบที่เป็นอยู่ พรรคปชน.ไม่สามารถเข้าร่วมได้ ตราบใดที่ประชาชนถูกถอดออกจากสมการการตัดสินใจของผู้มีอำนาจ ปัญหาเชิงโครงสร้างทุกเรื่องก็ไม่สามารถแก้ไขได้ เมื่อถามอีกว่า เลือกตั้งรอบหน้าจะไม่รวมกับพรรคพท.ใช่หรือไม่ นายณัฐพงษ์ ตอบว่า สิ่งที่เราสื่อสารมาโดยตลอดว่า ถ้าพรรค พท.จะสามารถรวมกับพวกเราได้ ก็อาจจะต้องมีเงื่อนไขบางอย่าง ยกตัวอย่างว่า อาจจะต้องมีการสื่อสารว่าการกระทำที่ผ่านมา เขาทำผิดต่อประชาชนจริงๆ และมีการสื่อสารเรื่องนี้อย่างชัดเจน ไม่อยากให้มองว่าเงื่อนไขการจับกับไม่จับมือกับพรรคใด เป็นเงื่อนไขที่พรรคปชน.ตั้งขึ้นมาเอง แต่เพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น จริงๆ จุดยืนพรรคปชน.เรา เสนอกับประชาชนว่าอย่างไรก่อนเลือกตั้ง หลังเลือกตั้ง เราจะยืนยันแบบเดิม ไม่กลับไปกลับมาแน่นอน

นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า เมื่อถึงเวลาที่เงื่อนไขของโลกเปลี่ยน แต่เงื่อนไขที่ผมตั้งไว้ล่วงหน้า อาจจะยังถูกตั้งคำถามได้ในอนาคต อาจจะกลายเป็นว่าอาจเป็นการปิดประตูให้กับประเทศหรือเปล่า ดังนั้น สิ่งที่เราสื่อสารมาตลอดว่า เราต้องการหาทางออกให้กับประเทศ เงื่อนไขในการจับหรือไม่จับมือกับพรรคใด ควรจะต้องไปหารือในช่วงใกล้ๆ การเลือกตั้ง อาจไม่ยุติธรรมที่จะมาถามพรรคปชน.ฝ่ายเดียว ให้ตั้งคำถามกับพรรคอื่นด้วย ส่วนจะสามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้ในสมัยหน้าหรือไม่นั้น ก็อยู่ที่ความไว้วางใจของประชาชน

โว ปชน.ไม่มีงูเห่าแน่นอน

นายณัฐพงษ์ ยังกล่าวถึงกรณีที่ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า ประธานที่ปรึกษาพรรคกล้าธรรม ระบุ จะมีการเปิดเผยรายชื่อ สส.ฝ่ายค้านจะย้ายเข้าพรรคกล้าธรรม ว่าเชื่อมั่นว่า ไม่ได้เป็นงูเห่าจากพรรคปชน.แน่นอน ยืนยันและเชื่อมั่นในเพื่อนทุกคนในพรรค เมื่อยิ่งมีการพูดในเรื่องนี้ แต่พรรคปชน.ไม่เคยกระทำแบบนั้นเลย คิดว่า ในอีกมุมหนึ่งคนที่ออกมาพูดบ่อยๆ จะเสียเครดิตของตัวเอง

มองอำนาจปรับครม.อยู่ที่ลูกไม่ใช่พ่อ

นายณัฐพงษ์ กล่าวถึงการประเมินสัญญาณ หลังนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ระบุ ไม่ปรับพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ออกจากครม.ว่า อำนาจในการปรับ ครม.เป็นของน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ ตนเองไม่อยากให้สังคมให้น้ำหนักกับคำพูดนายทักษิณ ซึ่งไม่ได้มีอำนาจตัวจริงในการปรับ ครม. ขณะเดียวกัน ประเด็นในพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งเห็นกันอยู่ว่า มีรอยร้าว ก็เป็นสิ่งที่ทำให้รัฐบาลขาดเสถียรภาพ และอาจจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชน ดังนั้น ความเป็นผู้นำของนายกฯ ที่ต้องควบคุมเสียงภายในพรรคร่วมรัฐบาล และแสดงออกให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในการเจรจากับต่างประเทศ เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ประเทศไทยเดินหน้าได้

ถ้าจะต้องมีการปรับเปลี่ยน ครม.จริงๆ ก็ควรจะต้องปรับเปลี่ยนเก้าอี้ด้วยความรู้ความสามารถ ไม่ควรจะปรับเปลี่ยนเก้าอี้กัน เพราะเป็นการเจรจาทางการเมือง หรือเพียงต้องรักษาเสถียรภาพในพรรคร่วมรัฐบาลอย่างเดียวเท่านั้น เพราะวิกฤติประเทศในตอนนี้ เปรียบเหมือนระเบิดเวลาในภายหลัง
เมื่อถามถึงการวิเคราะห์ว่า พรรคพท. จะชิงเก้าอี้กระทรวงมหาดไทยจากพรรคภท.ให้ได้ก่อนเลือกตั้ง เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการเมือง นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ภายในรัฐบาลจะต้องพูดคุยกัน ซึ่งคนที่จะตอบเรื่องนี้ได้ดีที่สุด คือนายกรัฐมนตรี

ขอรอฟังศาลฎีกาชี้คดีชั้น 14 สิ้นเดือนนี้

นายณัฐพงษ์ กล่าวถึงกรณีวันที่ 30 เม.ย. ศาลฎีกาจะมีคำสั่งในคดีชั้น 14 ของนายทักษิณ จะส่งแรงกระเพื่อมทางการเมืองหรือไม่ ว่า เรื่องนี้ จะเป็นใครก็ได้ที่เข้าไปยื่นคำร้อง ส่วนคำตัดสินของศาล ก็เป็นสิ่งที่พวกเราต้องติดตามดู ทั้งนี้ ยืนยันว่า เรื่องที่พวกเราอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภา กรณีชั้น 14 ก็เป็นสิ่งที่พวกเราตั้งข้อวิจารณ์ว่า น.ส.แพทองธาร เป็นคนที่มีส่วนรู้เห็นข้อเท็จจริงมาโดยตลอดว่า นายทักษิณ ผู้เป็นบิดา ป่วยจริงหรือไม่ เมื่อมาดำรงตำแหน่งนายกฯ จะดำเนินการอย่างไร เพื่อรักษาระบบนิติธรรม ไม่ให้เกิดการเลือกปฏิบัติสองมาตรฐาน และพรรคปชน.ก็ดำเนินการเรื่องนี้ต่อภายหลังการอภิปราย ในส่วนของการยื่นข้อกล่าวหาการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ของนายกฯ
เมื่อถามว่า หากศาลรับคำร้อง จะส่งผลถึงรัฐบาลหรือไม่ นายณัฐพงษ์ มองว่า ยังมีกระบวนการอีกหลายอย่าง ที่จะต้องดำเนินการต่อไป ส่วนจะส่งผลกระเทือนมากน้อยเพียงใดนั้น รอฟังวันที่ 30 เม.ย.ก่อนดีกว่า