เกือบ 2 ทศวรรษที่ประเทศ และคนไทยห่างเหินจากการทำหน้าที่เป็นประชากรของโลก การเข้าร่วมประชุมในระดับชาติสำคัญๆ และถกเถียงกันในเวทีการค้า ที่จะนำไทยสู่ประเทศที่ได้รับการยอมรับนานาอารยะประเทศภายใต้กลไกตลาดที่มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง
วันนี้ เราจึงไม่เห็นเลยว่า คณะรัฐมนตรีของรัฐบาลนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร มี “ความสมาร์ท”... ดูดี ดูมีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ทั้งทางด้านการค้า และการต่างประเทศ...เพียงพอจะรับมือกับปัญหาใหญ่มากอย่าง “ภาษีทรัมป์” ได้
กำแพงภาษีที่ ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่ง สหรัฐอเมริกา ปรับขึ้นตามอำเภอใจ ตั้งแต่ 10 - 49% ของมูลค่านำเข้า ล้วนไม่แคร์ต่อกฎกติกาการค้าที่จัดตั้งขึ้นมาใช้เป็นระเบียบที่แต่ละประเทศจะต้องไม่เอาเปรียบกัน
โดยเฉพาะประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ กับประเทศที่มีขนาดของเศรษฐกิจเล็กกว่า รวมถึงประเทศที่กำลังพัฒนา และด้อยพัฒนาซึ่งยังมีอีกจำนวนมากที่จำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือ และเงินเพื่อความอยู่รอด
ทรัมป์ ยังมีคำขู่ไปยังผู้นำจีน สี จิ้นผิง ที่ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯในจีนเท่าๆ กับที่โดนทรัมป์เล่นงาน พร้อมประกาศว่าจีนจะไม่มีวันยอมทำตามคำขู่ของสหรัฐฯ
นั่นทำให้ ทรัมป์ โกรธจัดถึงขั้นประกาศขึ้นกำแพงภาษีกับสินค้าจีนเป็น 145 % หรืออาจสูงกว่านั้น หากจีนไม่ยอมคลานเข่าไปหา
เตือน 90 วันอันตราย เรากำลังถูก ทรัมป์ ปิดล้อมด้วยคำขู่
ผู้นำหลายคนทั้งในสหรัฐฯ ยุโรป และเอเชีย ต่างออกมาแสดงความเห็นว่า ภาษีทรัมป์ จะทำให้โลกไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ที่สำคัญ มันจะทำลายระบบเศรษฐกิจและการค้าขายบนโลกใบนี้ให้พังทลายลง โดยไม่มีประเทศใด แม้แต่สหรัฐฯ ที่จะได้ประโยชน์จากการทำเช่นนี้
...
ยิ่งเปิดฉากทำสงครามการค้ากับ จีน เช่นนี้ ท้ายที่สุด สหรัฐฯ ก็จะได้เจอกับเกมที่เจ็บตัว และอาจสูญสิ้นทุกอย่างแบบเดียวกับ “Chicken Game” หรือ “เกมไก่ชน” ของไทย ที่เคยเขียนไว้เมื่อสัปดาห์ก่อน
ลี เซียน ลุง อดีตนายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์ ออกมาปาฐกถา สำทับ นายกรัฐมนตรี คนปัจจุบัน ลอว์เรนซ์ หว่อง ที่ออกมาเตือนชาวสิงคโปร์ก่อนหน้านี้ว่า จริงๆ ภาษีทรัมป์ ไม่ใช่เรื่องที่คาดไม่ถึง เพราะทุกคนรู้อยู่ว่า ลมหายใจเข้าออกของ ทรัมป์ คือ การตั้งกำแพงภาษีใหม่ และต้องการใช้ ภาษี เป็นเครื่องมือจัดการกับระบบดุลการค้าของสหรัฐฯ
แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็คือ การกีดกันการค้าโดยการตั้งกำแพงภาษีสูงลิบ และหว่านภาษีนี้ไปทั่วโลก แม้แต่ประเทศที่เป็นมิตรกันมานาน ซ้ำยังเก็บภาษีในอัตราที่สูงมากด้วย
สิ่งนี้จะก่อให้เกิดความปั่นป่วนวุ่นวายทั้งต่อระบบการค้า และการเงินของโลกอย่างรุนแรง ทั้งตลาดตราสารหนี้ ตลาดพันธบัตร และตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลก
แม้จะยอมเลื่อนการบังคับใช้ภาษีนี้ออกไป 90 วัน แต่นับจากวันที่ ทรัมป์ประกาศอิสรภาพ หรือ วันปลดปล่อยอเมริกา “Liberation Day” 2 เม.ย. 2568 อัตราภาษีที่โดนกันไปถ้วนหน้าแล้วคือ 10%
ลี เซียน ลุง บอกว่า การเลื่อนออกไป ไม่ใช่เรื่องน่ายินดี แต่เป็นการปิดล้อมพวกเราจากเป้าหมายที่ ทรัมป์ ประสงค์ ว่า จะดึงการค้า และภาคการผลิตกลับไปยังสหรัฐฯให้หมด...ไม่ใช่เรื่องง่าย

สหรัฐฯเล่นไม่แฟร์ ไม่มีประเทศใด Win นอกจาก Lose
แต่แม้จะรับรู้ในผลของมัน ทีมงานของ ทรัมป์ ก็ไม่พยายามให้ ทรัมป์ แก้ไขปัญหา...ทุกอย่างยังคงดำเนินต่อไปตามนโยบายที่ ทรัมป์ ประกาศไว้ สิ่งนี้จะยิ่งทำให้ปัญหาต่างๆ หนักกว่าเดิม และจะยิ่งส่งผลกระทบต่อประเทศต่างๆ มากยิ่งขึ้น
โดยเฉพาะปัญหาระหว่างสหรัฐฯ กับ จีน ยิ่งสหรัฐฯ ปฏิบัติต่อจีนเช่นนี้ การตอบโต้ด้วยการขึ้นกำแพงภาษีระหว่างกันก็จะยิ่งสูงขึ้นกว่า ที่ประเมินไว้ที่ 200% และถ้าสหรัฐฯทำได้ จีนก็จะบอกว่า ฉันก็ทำได้...แล้วจะเหลืออะไร?
“โลกใบนี้จะเป็น New Phase สถานะใหม่ที่ไม่อาจคงสถานะเดิมไว้ได้อีก แต่สิงคโปร์โชคดี เราร่วมมือกัน และ ปัจจุบันเราเป็นศูนย์กลางทางการเงินที่คนของเรามีประสิทธิภาพสูง ทั้งทางด้านการค้า และในทางด้านระบบการเงิน สิงคโปร์ จึงผ่านวิกฤตการณ์ต่างๆมาได้”
อย่างไรก็ตาม กฎกติกาการค้าของโลกจะต้องอยู่ภายใต้ความแฟร์ สนามเล่นต้องราบเรียบ และมีความเป็นธรรมตามระเบียบขององค์การการค้าโลก(WTO) ไม่เช่นนั้น สิ่งที่ ทรัมป์ คิดว่า จะ Win - Win มันจะกลายเป็น Win - Lose …
การค้าจะหดตัว ข้าวของจะแพงขึ้นอย่างมาก ทุกประเทศจะเสียเปรียบทางการค้า และท้ายที่สุด GDP ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศของทุกประเทศ จะหดตัวเข้าสู่สภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งเลวร้ายที่สุดเช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นกับโลกในปี ค.ศ. 1930 ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1
ดร.กฤษฎา บุญเรือง นักวิเคราะห์สถานการณ์จากสหรัฐฯ เปิดเผยว่า คะแนนนิยมของ ทรัมป์ ลดลงเหลือ 41% หลังจากที่ได้รับการเลือกตั้งมาด้วยคะแนน 49.5% และระหว่างนี้ ไม่ว่า ทรัมป์ จะพยายามพูดอะไร คนอเมริกันก็ไม่ให้ความเชื่อถืออีกแล้ว เพราะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาตลอด
ขณะเดียวกัน ห้างใหญ่ของสหรัฐฯที่ชื่อ วอลมาร์ท ออกมาเตือนรัฐบาลว่า สินค้าอุปโภค - บริโภคอาจจะหมดชั้นวางของในราวกลางเดือนหน้า เพราะไม่มีสินค้าจากจีนเข้าไป
และยิ่งรอ 90 วัน เพื่อจะให้จีนคลานเข่าเข้าไปหาก็ยิ่งไม่มีหวัง ประชาชนชาวสหรัฐฯ จึงกักตุนสินค้ากันหมด เพราะถ้ามัวรอไปซื้อหลังจากนั้น ราคาสินค้าจะแพงขึ้นอีกเป็นเท่าตัว
เปิดตัวเลขสหรัฐฯ รวยล้นฟ้า รังแกโลก และคนอเมริกันไร้บ้าน
ที่สำคัญก็คือ อย่าเพิ่งชะล่าใจ เพราะ ทรัมป์ เพิ่งจะพูดว่า ถ้าไม่มีใครมาจะกลับไปขึ้นภาษีอีก! เหมือนนิทานเรื่อง ยักษ์วัดโพธิ์ กับ ยักษ์วัดแจ้งข้ามมาตีกันจนราบเป็นท่าเตียน นั่นแหละ
จะชอบหรือไม่ คนอเมริกันก็ต้องรอไปจนกว่า ทรัมป์ จะครบเทอมในช่วงต้น ปี 2026 - 2028 เพราะการเมืองสหรัฐฯ นั้นเปรียบได้กับปลาที่อยู่ในตู้ใสๆ ที่ผู้คนมองเห็นได้ ส่วนการเมืองของจีน เป็นระบบคอมมิวนิสต์ ที่ใครก็ไม่เห็นว่า ในหนองน้ำนั้นมีอะไรอยู่บ้าง
ปัญหาเวลานี้คือ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จะเกิดความผันผวนในขณะที่ธนาคารกลางของประเทศต่างๆ ส่วนใหญ่ถือเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ไว้เกิน 60% ของทุนสำรอง
เมื่อมีการเทขายเงินดอลลาร์ หรือ พันธบัตรสหรัฐฯออกมา แต่เงินดอลลาร์ก็ยังคงยืนหยัดอยู่ เพราะมีประเทศต่างๆ มากถึง 180 ประเทศ ที่ค้าขายกับสหรัฐฯ ในขณะที่เงินหยวนซื้อขายกันอยู่ในตลาดเพียง 2-4% เท่านั้น
ถ้าถามว่า ระหว่างจีน กับสหรัฐฯ ใครจะชนะในศึกนี้ ก็ต้องไม่ลืมเหมือนกันว่า จีนมีแร่ธาตุที่หายาก (Rare-earth) มากที่สุดในโลก จีนยังคุมการจ้างงานในโรงงานอุตสาหกรรม และแรงงานฝีมือที่หายากไว้ด้วย
ดร.กฤษฎา กล่าวด้วยว่า ทุกวันนี้ สหรัฐอเมริกา เป็นประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลกจากทรัพย์สินที่มีอยู่มากกว่า 50 - 60% ของโลก ในขณะที่บริษัทสัญชาติอเมริกันยังมีสินทรัพย์มูลค่าสูงถึง 75% ของสินทรัพย์ในโลกด้วย
ส่วน อีลอน มัสก์ เพียงคนเดียวมีสินทรัพย์มากถึง 53% ของคนอเมริกันทั้งหมด ถ้าเปรียบเทียบกันระหว่างคณะรัฐมนตรีของประธานาธิบดีไบเดน พวกนั้นมีทรัพย์สินรวมกัน 118 ล้านเหรียญสหรัฐฯเท่านั้น ในขณะที่ คณะรัฐมนตรีของ ทรัมป์ มีทรัพย์สินรวมกัน 300 - 400 ล้านล้านเหรียญ
จะเห็นว่า ยอดภูเขาน้ำแข็งนี้ไม่มีทางจะเอื้อมถึง ในขณะที่เราต่างเห็นคนไร้บ้านในสหรัฐฯ มีอยู่เกลื่อนถนน นั่นแปลว่าความเหลื่อมล้ำ และการบริหารทรัพย์สินของประเทศไม่ได้รับการจัดสรรปันส่วนให้เกิดความเท่าเทียมกันอย่างจริงจัง และยิ่งวันปัญหาเหล่านี้ ก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น
อเมริกา จึงไม่น่าจะเป็น America Great Again ได้อย่างที่ ทรัมป์ ประกาศโดยเฉพาะเมื่อ ทรัมป์ ยกเลิกกระทรวงศึกษาธิการ ยกเลิกเงินช่วยเหลือเพื่อการค้นคว้าวิจัยของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และ เยล รวมถึงเลิกจ้างบุคลากรจำนวนมากในองค์กรเพื่อความช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์