ครบรอบ 25 ปีวันสถาปนาสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน นายสมศักดิ์ สุวรรณสุจริต ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ย้ำทิศทางมุ่งแก้ปัญหาเชิงรุก ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง ขีดเส้น 30 วันให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องชี้แจงส่งตัว “ทักษิณ” รักษาตัวชั้น14

วันที่ 24 เมษายน 2568 นายสมศักดิ์ สุวรรณสุจริต ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน นายทรงศัก สายเชื้อ ผู้ตรวจการแผ่นดิน พร้อมด้วย พ.ต.ท.กีรป (กี-รป) กฤตธีรานนท์ เลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน คณะผู้บริหาร พร้อมด้วยหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ร่วมพิธีเปิดงานสัมมนาวิชาการ เนื่องในโอกาสครบรอบ 25 ปี สถาปนาสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ภายในงานมีการบรรยายพิเศษและเวทีเสวนาในหลากหลายประเด็น นำโดยประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ผู้ตรวจการแผ่นดิน และผู้ทรงคุณวุฒิ ในวันที่ 24 - 25 เมษายน 2568 ณ ห้องวายุภักษ์ 3 และ 4 ชั้น 4 โรงแรมเซ็นทารา ไลฟ์ ศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ พร้อมบริการปรึกษาข้อกฎหมายและรับเรื่องร้องเรียน


นายสมศักดิ์ สุวรรณสุจริต ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ระบุถึงทิศทางขององค์กรว่าผู้ตรวจการแผ่นดินเป็นองค์กรหลักในการทำงานเชิงรุกที่มุ่งเน้นแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนหรือความไม่เป็นธรรมของประชาชนที่เกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ เป็นองค์กรโปร่งใส เปิดเผยตรวจสอบได้ ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง โดยจากประสบการณ์ 25 ปี ที่ผู้ตรวจการแผ่นดินได้จากการทำงานร่วมกับหน่วยงานของรัฐในการแก้ไขความเดือดร้อนหรือความไม่เป็นธรรมของประชาชนนำมาสู่การกำหนดทิศทางต่อไปในการยกระดับการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะที่เป็นที่พึ่งของประชาชน ใน 5 ด้านหลัก คือ

...


1. การเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานในการแก้ไขความเดือดร้อนหรือความไม่เป็นธรรม - เน้นความรวดเร็วในการแก้ไขความเดือดร้อนหรือความไม่เป็นธรรม (เรื่องร้องเรียน) มุ่งการแก้ไขปัญหาเชิงรุก (การแก้ไขความเดือดร้อนหรือความไม่เป็นธรรม ที่เป็นปัญหาสาธารณะ หรือความเดือดร้อนหรือความไม่เป็นธรรมของประชาชนส่วนรวม การแก้ปัญหาเชิงระบบ)

2. การพัฒนาประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน - มุ่งปรับปรุงโครงสร้างองค์กร และการพัฒนาบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ บริหารจัดการข้อมูลการนำเทคโนโลยีดิจิทัลสมัยใหม่มาใช้ในการปฏิบัติงาน พัฒนาประสิทธิภาพในการรับเรื่องร้องเรียน การแสวงหาข้อเท็จจริง การจัดทำคำวินิจฉัยและข้อเสนอแนะ การติดตามผลปฏิบัติการตามคำวินิจฉัยและข้อเสนอแนะ และการพัฒนาการปฏิบัติการบริหารงานและการปฏิบัติงานไปสู่การเป็นองค์กรดิจิทัล

3. การสร้างเครือข่ายองค์กรธรรมาภิบาลและสังคมธรรมาภิบาล - สนับสนุนให้หน่วยงานของรัฐมุ่งบริหารงานไปสู่การเป็นองค์กรธรรมาภิบาล เพื่อลดการปฏิบัติที่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนหรือความไม่เป็นธรรมแก่ประชาชน

4. การเรียนรู้และการปรับตัวให้ทันการเปลี่ยนแปลงของโลก - ทั้งในกระแสโลกาภิวัตน์ (Globalization) กระแสประชาธิปไตย (Democracy) กระแสธรรมาภิบาล (Good Governance) และกระแสสิทธิมนุษยชน (Human Rights)

5. ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางในการปฏิบัติงาน ในการร่วมกับหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนหรือความไม่เป็นธรรมของประชาชน

สำหรับกิจกรรมเนื่องในโอกาสครบรอบ 25 ปีในวันนี้ มีการบรรยาย หัวข้อ “25 ปี ผู้ตรวจการแผ่นดิน: ก้าวต่อไปในการเป็นที่พึ่งของประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนหรือความไม่เป็นธรรม” โดย ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน จากนั้นเป็นเวทีแสดงข้อคิดเห็นและเสนอแนะเกี่ยวกับบทบาท หน้าที่ และอำนาจ ของผู้ตรวจการแผ่นดิน จากผู้ทรงคุณวุฒิ อาทิ ศาสตราจารย์ ดร. สมคิด เลิศไพฑูรย์ ศาสตราจารย์ประจำภาควิชากฎหมายมหาชนและภาควิชานิติศึกษาทางสังคมประวัติศาสตร์และปรัชญาคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ศาสตราจารย์ ดร. ศุภสวัสดิ์ ชัชวาลย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ศาสตราจารย์ ดร. อุดม รัฐอมฤต ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และ ดร. ปัญญา อุดชาชน ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ


และในวันพรุ่งนี้ (วันที่ 25 เมษายน 2568) จะมีการบรรยายพิเศษ เรื่อง “ธรรมาภิบาลกับการดำเนินงานตามหน้าที่และอำนาจของผู้ตรวจการแผ่นดิน” และการเสวนา เรื่อง “ธรรมาภิบาลที่เข้มแข็ง: การแก้ไขความเดือดร้อนให้ประชา สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน” จากผู้ทรงคุณวุฒิทั้งจากภาครัฐและภาคประชาสังคม และช่วงบ่าย เป็นเวทีสัมมนานานาชาติในหัวข้อ “Fostering Fairness in Society: The Ombudsman’s Role in Achieving SDG16” ซึ่งผู้สนใจร่วมรับฟังการสัมมนาวิชาการ สามารถรับชมสดได้ที่ Facebook Live และ YouTube “สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน”

ขีดเส้น 30 วัน แจงปมชั้น 14

ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ยังให้สัมภาษณ์ถึงกรณี กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ส่งเรื่องผู้ตรวจการแผ่นดิน ยื่นฟ้องศาลปกครอง เพิกถอนคำสั่งอนุญาต นายทักษิณ ชินวัตร ไปรักษาตัวชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจให้เป็นการกระทำที่ใช้บังคับไม่ได้ หรือโมฆะ ว่า ผู้ตรวจการแผ่นดินได้รับคำร้องจาก กสม.เรียบร้อยแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการแจ้งเรื่องไปยังกรมราชทัณฑ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงมาประกอบกับข้อกฎหมายในเรื่องของหลักเกณฑ์ และส่งเรื่องไปให้ศาลปกครองพิจารณาต่อไป โดยมีการกำหนดกรอบระยะเวลาไว้ 30 วัน หากส่งมาถึงที่ผู้ตรวจการแผ่นดินแล้วก็คาดว่าจะใช้เวลาไม่นานในการส่งต่อไปยังศาลปกครอง แต่หากมีความจำเป็นก็ต้องประชุมหารือก่อน ยืนยันจะดำเนินการโดยเร็ว เบื้องต้นยังไม่จำเป็นต้องเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาประชุมด้วย แต่หากมีการประมวลผลแล้ว ก็อาจต้องหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้โอกาสอธิบายเพิ่มเติม ยืนยันเรื่องนี้เป็นประเด็นสาธารณะที่รับรู้ร่วมกัน อยู่ในความสนใจของสังคม คิดว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องน่าจะให้ความร่วมมือ