“แพทองธาร” เข้าเฝ้าฯ “พระบาทสมเด็จพระบรมนาถนโรดม สีหมุนี” ก่อนให้สัมภาษณ์ เล็งผนึกกำลังอาเซียนสู้ภาษีสหรัฐอเมริกา มองเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ ชี้ ต้องเจรจาแบบเป็นเพื่อนกัน วิน-วินทั้งคู่ เผย เตรียมประชุม ครม. ร่วมกัมพูชา กลางปีนี้
เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 24 เมษายน 2568 น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ที่กรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา ถึงการเดินทางเยือนอย่างเป็นทางการ ว่า ในการหารือกับ สมเด็จมหาบวรธิบดี ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้พูดถึงกรณีสหรัฐอเมริกาประกาศขึ้นภาษี ประเทศไทยเลือกที่จะดูเหตุการณ์อย่างใกล้ชิดในทุกมุม 30 วันที่ผ่านมา มีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างเยอะ คิดว่าสหรัฐฯ ก็ต้องรอดูเหมือนกันว่าผลตอบรับที่ออกไปทั่วโลกเป็นอย่างไรเช่นกัน การเตรียมข้อมูลให้พร้อมที่เราทำอยู่ตอนนี้ ยังอยู่ในทิศทางที่กำหนดไว้
ขณะที่การหารือกับนายกรัฐมนตรีกัมพูชา เราได้พูดคุยถึงกรอบความร่วมมือของอาเซียนว่าแต่ละประเทศมีความแข็งแรงของตัวเองอย่างไรบ้าง และถ้ามารวมกันในกรอบของอาเซียนทำได้บ้าง เพราะจริงๆ แต่ละประเทศมีทรัพยากรธรรมชาติที่ไม่เหมือนใคร และมีจุดแข็งอีกมาก ถ้ามาร่วมกันแล้วเพิ่มอำนาจการต่อรองจะเป็นไปได้หรือไม่ ซึ่งเป็นเพียงแค่แนวความคิด ยังไม่มีการลงนามหรือเซ็นเอกสารใด
...
ทั้งนี้ ตนได้คุยกับผู้นำในประเทศอาเซียนมาบ้างแล้วเช่นเดียวกันกับนายกรัฐมนตรีกัมพูชาก็ได้คุยกับผู้นำในประเทศอาเซียนเช่นเดียวกัน และเห็นตรงกันว่าถ้าเราร่วมมือกันในกลุ่มอาเซียนจะเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ ก็จะสามารถมีอำนาจในการต่อรอง เราพร้อมที่จะร่วมมือกัน หากมีการขึ้นกำแพงภาษีก็จะรอดไปด้วยกัน เพราะเรามีสิ่งที่มีความเฉพาะของประเทศในกลุ่มอาเซียน ซึ่งเป็นสิ่งที่ทวีปอื่นไม่มีเหมือนอาเซียน
น.ส.แพทองธาร กล่าวต่อไปว่า สิ่งนี้จะเป็นสิ่งที่เราต่อรองได้อย่างแข็งแรง เมื่อได้คุยแล้วก็ดีใจที่ประเทศในกลุ่มอาเซียนเห็นตรงกันในเรื่องนี้ เพราะการที่เราจะต่อรอง จะต้องต่อรองอย่างคนที่จะเจรจาแบบเป็นเพื่อนกัน ต่อรองแบบไม่ต้องเสียเปรียบหรือได้เปรียบในช่องว่างที่ใหญ่จนรับไม่ได้ แต่ต้องต่อรองให้เราและเขาก็เข้มแข็งเช่นกัน ต้องวิน-วินทั้งคู่ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราเห็นตรงกัน
เมื่อถามว่าการที่เรารอจังหวะสังเกตดูท่าทีของสหรัฐฯ ก่อนที่จะเจรจา เท่ากับเป็นผลดีต่อไทยใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรี ระบุ ตนคิดว่าเช่นนั้น เพราะสหรัฐฯ เองก็สังเกตและดูท่าทีของรอบโลกเช่นกัน เราจึงต้องดูว่าอะไรเกิดขึ้นและจุดไหนเป็นจุดที่เหมาะที่เราจะต้องต่อรองในรายละเอียด ซึ่งเป็นสิ่งที่เราจับตาดูอยู่ และยืนยันว่าไม่ต้องห่วง เนื่องจากรัฐบาลปรึกษาทางเอกชนด้วย ทั้งผู้ประกอบการที่ลงทุนในสหรัฐฯ เพราะเราอยากรู้ความเคลื่อนไหวว่าสามารถจะทำอะไรได้บ้างให้ครบถ้วน
ทางด้าน นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกฯ เปิดเผยว่า ช่วงกลางปีนี้ผู้นำไทย-กัมพูชาจะเป็นประธานร่วมกันในพิธีเปิดสะพานมิตรภาพไทย-กัมพูชาแห่งแรก ที่บ้านหนองเอี่ยน ตำบลท่าข้าม อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ตรงข้ามกับบ้านสตึงบท ตำบลปอยเปต จังหวัดบันเตียนเมียนเจย ของกัมพูชา อย่างเป็นทางการ พร้อมทั้งจะจัดการประชุมร่วมกันกับนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการ (Joint Cabinet Retreat: JCR) บริเวณชายแดนของไทย ที่จังหวัดสระแก้ว เพื่อติดตามความคืบหน้าในการหารือร่วมกันในครั้งนี้และติดตามความร่วมมือระหว่างไทย-กัมพูชาในทุกประเด็นต่อไป
นายจิรายุ เปิดเผยอีกว่า ก่อนให้การสัมภาษณ์ เมื่อเวลา 11.00 น. นายกรัฐมนตรี เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท พระบาทสมเด็จพระบรมนาถนโรดม สีหมุนี (His Majesty Preah Bat Samdech Preah Boromneath NORODOM SIHAMONI) พระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ในโอกาสการเยือนกัมพูชาอย่างเป็นทางการ ณ พระที่นั่งเทวาวินิจฉัย พระราชวัง ซึ่งความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างไทยกับกัมพูชา โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระดับประชาชน เป็นรากฐานของมิตรภาพอันยาวนานระหว่างกัน รัฐบาลไทยให้ความสำคัญต่อการส่งเสริมปฏิสัมพันธ์ระหว่างประชาชนของทั้ง 2 ประเทศให้มีความใกล้ชิด ผ่านโครงการความร่วมมือเพื่อการพัฒนาในกัมพูชาด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โครงการความร่วมมือตามพระราชดำริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ซึ่งถือเป็นสะพานเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรี พร้อมคู่สมรส และและคณะ ได้เดินทางออกจากท่าอากาศยานนานาชาติกรุงพนมเปญแล้ว โดยมีกำหนดการกลับถึงท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 (บน.6) ดอนเมือง กรุงเทพฯ ในเวลา 15.20 น.