การที่ “นายพิชัย ชุณหวชิร” รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง พร้อมทีมไทยแลนด์ “เลื่อน” เดินทางไปสหรัฐฯ เพื่อเจรจาแก้ปัญหามาตรการภาษีต่างตอบแทน (Reciprocal Tariff) จากเดิมที่ “น.ส.แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี ประกาศว่า ไทยได้เวลาคุยวันที่ 23 เม.ย.68 นั้น

ไม่สมควรเรียกว่า “เลื่อน” ด้วยซ้ำ เพราะที่จริง สหรัฐฯยังไม่ได้นัดวันเวลากับไทยเลย แต่ไทยกลับออกข่าวไปก่อนว่า ได้เวลานัดแล้ววันที่ 23 เม.ย.68 ทำให้ “หน้าแตก” เสียเอง

แต่รัฐบาลก็รักษาหน้าด้วยการประสานเสียงกันว่า “เลื่อน” จริงๆ โดย “น.ส.แพทองธาร” ให้สัมภาษณ์หลังการประชุม ครม.วันที่ 22 เม.ย.68 ว่า ได้เลื่อนการเจรจาออกไป จากเดิมนัดวันที่ 23 เม.ย.

เพราะได้รับแจ้งจากทีมล่วงหน้า (ทีมสถานเอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.สหรัฐฯ) ว่า มีข้อเสนอบางประเด็นที่สหรัฐฯอยากให้ไทยทบทวน และจะนัดอีกครั้ง ซึ่งยังอยู่ในกรอบเวลา 90 วัน

ส่วนรองนายกฯและ รมว.คลัง “พิชัย” ก็บอกว่า คณะทำงานเห็นว่าควรขยับเวลาเดินทางไปก่อน เพื่อหารือเพิ่มเติมและทบทวนแผนการเจรจาให้ชัดเจนที่สุด ขณะนี้มีประเทศเดียวที่ได้เจรจาแล้ว ส่วนบางประเทศก็ส่งข้อมูลไปว่าจะทำอะไรบ้าง สหรัฐฯยังมีกรอบการคุยกับกว่า 10 ประเทศที่การค้าใหญ่กว่าไทย

ขณะที่ “นายพิชัย นริพทะพันธุ์” รมว.พาณิชย์ ยืนยันว่า การเจรจา 2 ฝ่าย “ไม่ล่ม” รอเพียงสหรัฐฯนัดวันเวลามาก็พร้อมไป แต่ระหว่างนี้ขอทำข้อมูลเจรจาให้พร้อมที่สุดก่อน เพราะมีโจทย์ใหม่ ข้อมูลใหม่เพิ่มมาอีก อยากให้ไปเจรจาแล้วได้อะไรกลับมา ไม่ใช่แค่ว่า ได้เดินทางไปเจรจาแล้วเท่านั้น

ที่สำคัญมองว่า ไม่ต้องเร่งรีบเจรจา รอให้ประเทศอื่นเจรจาไปก่อน แล้วดูผลว่าเป็นอย่างไร ไม่ใช่ว่า เจรจาก่อนแล้วจะได้ประโยชน์ก่อน!!

...

ส่วนกระทรวงพาณิชย์จีน ออกแถลงการณ์วันที่ 21 เม.ย.68 “เตรียมตอบโต้ทุกประเทศที่ร่วมมือกับสหรัฐฯ ในลักษณะที่ส่งผลกระทบต่อประโยชน์ของจีน” ยืนยันว่า ไทยไม่ทำอะไรที่กระทบความสัมพันธ์คู่ค้าอื่น รวมถึงจีนและสหรัฐฯแน่นอน อีกทั้งไม่จำเป็นต้อง “เลือกข้าง” เพราะบาลานซ์ผลประโยชน์ได้

อย่างไรก็ตาม ในส่วนความช่วยเหลือเยียวยานั้น รองนายกฯและ รมว.คลังจะหารือกับสภาพัฒน์ หากเกิดผลกระทบจากภาษีสหรัฐฯจนเศรษฐกิจตกต่ำ ก็เตรียมออกมาตรการรองรับ รวมทั้งจะหารือกับแบงก์ชาติ และสถาบันการเงินต่างๆออกมาตรการเยียวยา ฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบด้วย

ขณะเดียวกัน “นายณพพงศ์ ธีระวร” ประธานสมาพันธ์ SME ไทยคนใหม่ เรียกร้องให้รัฐบาลตั้งกองทุน 1 แสนล้านบาท ปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ 2% ให้เอสเอ็มอีกู้เพิ่มศักยภาพการแข่งขัน เสริมสภาพคล่อง และใช้ปรับตัวสู้ศึก “เทรดวอร์” ที่กำลังรุนแรงมากขึ้น

ศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก อยากจะเชื่อลมปากรัฐบาลที่ว่าการเจรจาจะ “วิน-วิน” สมประโยชน์ 2 ฝ่าย แต่ถ้าตั้งรับ และรุกไม่ดี คงตายหมู่ เพราะจะเจอศึก 2 ด้าน จาก 2 ยักษ์ใหญ่โลก!!

ฟันนี่เอส