“พิชัย ชุณหวชิร” ถก ปตท. เตรียม 3 แผนพลังงาน เอาใจสหรัฐ ทำสัญญา 15 ปีนำเข้า LNG ปีละ 1 ล้านตัน 500 ล้านเหรียญ - เล็งคุยแผน 5 ปีนำเข้าอีเทน 100 ล้านเหรียญ - หวังนำเข้า-ส่งออกก๊าซรายใหญ่ในภูมิภาค
วันที่ 16 เมษายน 2568 ที่ประชุมร่วมคณะเจรจาการค้าสหรัฐอเมริกา ระหว่างรัฐบาลและบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เริ่มเวลา 9.00 น. ใช้เวลาเกือบ 2 ชั่วโมง เพื่อวางแผนดำเนินการรับมือนโยบายกำแพงภาษีสหรัฐอเมริกา นำโดยนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และผู้บริหาร ปตท. เข้าร่วมหารือ
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุมร่วมฯ เป็นการหารือเตรียมความพร้อมก่อนดำเนินนโยบายการเจรจาใน “Sector พลังงาน” เบื้องต้นมีข้อสรุปว่า ไทยจะเตรียม 3 แผนพลังงานเจรจาสหรัฐ ได้แก่
1. แผนพลังงาน นำเข้าก๊าซธรรมชาติ LNG ของ ปตท. 1 ล้านตัน มูลค่า 500 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2569 โดยล็อตแรกจะเซ็นสัญญาสัมปทานระยะเวลา 15 ปี ส่วนราคาซื้อขายจะต้องไปเจรจาต่อรองเพิ่มเติมโดยราคานำเข้าก๊าซธรรมชาติ LNG รวมค่าขนส่งแล้ว พร้อมย้ำว่าราคาจะต้องคุ้มทุนด้วย โดยแผนดังกล่าวเป็นเดิมของ ปตท. อยู่แล้ว แต่นายพิชัยจะไปย้ำเตือนกับสหรัฐอีกครั้ง
2. แผนพลังงานในอีก 5 ปีข้างหน้า เตรียมทำสัญญาซื้อขายปิโตรเคมี (อีเทน) จำนวน 400,000 ตัน มูลค่า 100 ล้านเหรียญสหรัฐ เนื่องจาก ปตท. วิเคราะห์ว่า ปริมาณน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยมีปริมาณลดลง ในอนาคตอาจจะไม่เพียงพอกับความต้องการภายในประเทศ จึงจะใช้โอกาสนี้เข้าเจรจาสหรัฐ หากสำเร็จจะให้ ปตท. เข้าดำเนินการเจรจาขั้นตอนต่อไปทันที
3. แผนในอนาคตเล็งให้ ปตท. เป็นผู้ซื้อและผู้ขายก๊าซ LNG ที่นำเข้าสหรัฐ เพื่อต้องการเป็นฮับรายใหญ่ในภูมิภาค ส่วนรายละเอียดทั้งเงื่อนไขสัญญาจะต้องเจรจากันอีกครั้ง ยืนยันว่า หากราคาแพงเกินตลาดอื่นๆ หรือไม่เป็นไปตามเป้าหมาย จะไม่ซื้อขาย ต้องคำนึงถึงจุดคุ้มทุน
...
นายพิชัย ยอมรับว่า แผนการเจรจาใน Sector พลังงานทั้งหมดนี้ เป็นกลยุทธ์ Win-Win ที่ประเทศไทยและสหรัฐได้ประโยชน์ทั้งคู่ อีกทั้งเป็นแผนที่จำเป็นกับประเทศไทย ซึ่งประเทศไทยต้องนำเข้าก๊าซธรรมชาติอยู่แล้ว หากเป็นไปตามแผนดังกล่าวจะทำให้สหรัฐได้ดุลการค้าไทยเพิ่ม 600 ล้านเหรียญสหรัฐ
เมื่อถามว่า แผนใน Sector พลังงานเพียงพอกับการปรับดุลการค้าไทย-สหรัฐ หรือไม่ นายพิชัย บอกว่า ยังไม่เพียงพอจะต้องดำเนินแผนใน Sector อื่นๆ เพิ่มเติม เช่น นำเข้าสินค้าเกษตรเพื่อแปรรูปอาหารสัตว์และส่งออก
“ที่ผ่านมาไทยเกินดุลการค้าสหรัฐ ราว 40,000 ล้านบาท เมื่อเอา 60,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หารด้วย 60,000 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยขนาดเศรษฐกิจไทย 60,000 ล้านเหรียญสหรัฐ จึงทำให้ไทยได้เปรียบดุลการค้าสหรัฐ 72% ดังนั้น หากทำให้ดุลการค้าลดลงมี 2 วิธี คือ 1. ไทยจึงต้องนำเข้าเพิ่ม 20,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เหลือ 36% 2. ไทยต้องนำเข้ามาและขายออกด้วย จะส่งผลให้ขนาดเศรษฐกิจไทยใหญ่ขึ้น และทำให้ดุลการค้าลดลง อาจจะเกินดุลการค้าแค่ 17% ตามสมการที่พูด”
ส่วนมาตรการด้านภาษี กับกรมสรรพสามิตวันนี้ เบื้องต้น ยังไม่ได้มีมาตรการอะไรปรับเปลี่ยนเพิ่มเติม เป็นเพียงการรีเช็กภาษีสินค้านำเข้าแต่ละสินค้า
อย่างไรก็ตามบ่ายวันนี้ (16 เมษายน 2568) จะหารือร่วมกับนายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย จะหารือกันใน 2 เรื่อง คือ ทิศทางตลาดทุน และพันธบัตร โดยเป็นการขอความคิดเห็นจาก ธปท. ว่ามีมาตรการอะไรเสนอแนะ ขณะที่กระทรวงการคลัง ก็จะนำเสนอแผน-มาตรการต่างๆ ให้ ธปท. รับฟังส่วนแนวคิดการเทขายพันธบัตร เหมือนประเทศอื่นๆ หลังจากได้รับผลกระทบกำแพงภาษีสหรัฐ นายพิชัย ยืนยันว่า “ประเทศอื่นขาย แต่ไทยไม่ขาย เนื่องจากการจัดการการเงินของไทยไม่ได้หวือหวา มี ธปท. ทำหน้าที่ดูแลอยู่แล้ว”
ส่วนแนวคิดการกดดันให้ธนาคารแห่งประเทศไทยนำเงินสำรองออกมาใช้หรือไม่นั้น นายพิชัย บอกว่า เป็นเรื่องของ ธปท. ยืนยันว่า ไม่ได้อยู่ในความคิด เนื่องจากเงินสำรองเป็นเงินทุนเพื่อสำรองการนำเข้าและส่งออกเท่านั้น ในส่วนของรัฐบาลจะทำผ่านขั้นตอนการปรับเพิ่ม-ลดการขาดดุลมากกว่า ขณะที่มาตรการทางการเงิน นายพิชัย บอกว่า เบื้องต้น ตอนนี้ยังไม่ต้องมีมาตรการใดๆ แต่กำลังจะไปหารือกับ ธปท. อีกครั้ง
ส่วนประเด็นการนำเข้าอาหารสัตว์ (ชิ้นส่วนโค) พรุ่งนี้ (17 เมษายน) กลุ่มเกษตรกรจะประท้วงการนำเข้าชิ้นส่วนโค ที่กระทรวงเกษตร นายพิชัย ยืนยันว่า ไม่กระทบเกษตรกรในประเทศแน่นอน เนื่องจากเป็นชิ้นส่วนเครื่องในที่บริษัทเอกชนนำเข้าเพื่อแปรรูปอาหารสัตว์และส่งออก
สำหรับการเจรจาสหรัฐครั้งนี้ หลังจากคุยกับแบงก์ชาติแล้วเสร็จ ทีมไทยแลนด์ จะเริ่มทยอยบินไปตั้งแต่วันพรุ่งนี้ ล็อตแรกประมาณ 5 คน ส่วนนายพิชัย คาดว่าจะเดินทางอีก 2-3 วันนี้ ต้องขึ้นอยู่กับสหรัฐจะให้คิวสะดวกวันไหน