รองผู้ว่าฯ สตง. แจงวง กมธ.ติดตามงบฯ ชี้ “อิตาเลียนไทยฯ” ยืนยันมีทุน-เครื่องมือพร้อมสร้าง ยังไม่ได้บอกเลิกสัญญา รอผู้มีอำนาจเคาะ จ่อสร้างใหม่ ไม่สูงเท่าเดิม เช่าที่ รฟท. เพิ่ม 4 ไร่ ลั่น ไม่ใช่ปูนเพิ่งเซ็ตตัวแน่นอน เพราะตึกตั้งสง่ามา 4 ปีแล้ว รอรัฐบาลตั้งหน่วยงานสอบข้อเท็จจริง
เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 10 เมษายน 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่รัฐสภามีการประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณ สภาผู้แทนราษฎร ที่มี นายสุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) ในฐานะประธาน กมธ. เป็นประธานการประชุมพิจารณาติดตามการใช้งบประมาณ กรณีโครงการก่อสร้างอาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แห่งใหม่ที่พังถล่ม เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมาจากเหตุแผ่นดินไหว โดยเชิญผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน, อธิบดีกรมบัญชีกลาง, อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง, อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ), นายกสภาวิศวกร, นายกสมาคมวิศวกรโครงสร้างแห่งประเทศไทย และนายกวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เข้าให้ข้อมูล
นายสุทธิพงษ์ บุญนิธิ รองผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ในฐานะโฆษก สตง. ชี้แจงว่าตึก สตง. เป็นอาคารสูงพิเศษ ตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคารปี 2522 จึงต้องมีการจ้างออกแบบโดยได้บริษัทฟอ-รัม อาร์คิเทค จำกัด และบริษัท ไมนฮาร์ท (ประเทศไทย) จำกัด ด้วยวงเงิน 73 ล้านบาท มีผู้ชนะการประกวดราคาคือ กิจการร่วมค้า ไอทีดี-ซีอาร์อีซี (บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด มีการลงนามสัญญา 23 กันยายน 2563 และมีการแก้ไขสัญญา 9 ครั้ง งบประมาณสัญญาอยู่ที่ 2,560 ล้านบาท ราคากลางขณะที่ประมูลอยู่ที่ 2,522 ล้านบาท แต่ราคาที่ประมูลได้อยู่ที่ 2,136 ล้านบาท
...
แต่เมื่อมีการแก้ไขสัญญาและปรับเนื้องานปัจจุบันสัญญาอยู่ที่ 2,131 ล้านบาท มีระยะเวลาก่อสร้าง 3 ปี 36 งวดงาน เมื่อเริ่มสัญญาส่งมอบพื้นที่ได้ในวันที่ 1 มกราคม 2564 และต้องเสร็จตามสัญญาคือวันที่ 31 ธันวาคม 2566 แต่ระหว่างนั้นมีการขอขยายระยะเวลาเพิ่ม 2 ครั้ง เพราะสถานการณ์โควิด-19 และการปรับแก้สัญญา มีการขยายเวลาถึงวันที่ 3 มิถุนายน 2567 และได้มีการปรับแผนตามหนังสือ วอ.1459 ต่อไปถึงวันที่ 14 มิถุนายน 2568 โดยไม่มีค่าปรับ ตามหนังสือ วอ.3693 วันที่ 7 สิงหาคม 2568
นายสุทธิพงษ์ กล่าวต่อไปว่า สตง. ได้เช่าที่ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) รวมพื้นที่ 10 ไร่ เพราะต้องการใช้พื้นที่ในการทำงานของเจ้าหน้าที่ สตง. จำนวน 2,400 คน ซึ่งในส่วนนี้รวมถึงอาคารจอดรถ 1 อาคาร อาคารอบรม 1 อาคาร เรามีหน่วยงานภายใน 50 หน่วยงาน จึงจำเป็นต้องมีตึกสูง ทั้งนี้ ในระหว่างที่มีการออกแบบ สตง. ได้ปรึกษาอัยการสูงสุด (อสส.) เรื่องกฎเกณฑ์ต่างๆ 2-3 ครั้ง จนกระทั่งได้บริษัทที่ชนะออกมา และเราก็ได้ผู้รับจ้างคือบริษัทอิตาเลียนไทยฯ ที่ถูกมอบให้เป็นผู้เซ็นสัญญา ซึ่งเราได้ถามบริษัทอิตาเลียนไทยฯ ว่าสามารถลดจากราคากลาง 300 กว่าล้านบาทได้หรือไม่ คำตอบที่ได้คือเขามีทุนและมีเครื่องมือ และเขาพร้อมทำ เราจึงมีการปรับเงินจาก 2,522 ล้านบาทนั้น มาอยู่ในวงเงินที่เขาเสนอคือ 2,136 ล้านบาท แต่ต้องได้ตึกตามที่เราประกวดราคา และมีการจ่ายเงินไปแล้ว 22 งวด เป็นวงเงิน 966 ล้านบาท รวมเงินที่ต้องจ่ายล่วงหน้า
“เงินจำนวนดังกล่าวเป็นเงินจำนวนมากที่สุดเท่าที่ สตง. ได้ร่วมกับองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ลงนามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามปัญหาการทุจริต โครงการข้อตกลงคุณธรรม กับกิจการร่วมค้า ไอทีดี-ซีอาร์อีซี ซึ่งอยู่ในช่วงการบริหารสัญญา เรายินดีที่จะนำเงินเป็นค่าธรรมเนียมให้กับผู้ที่จะเข้ามาเป็นคณะกรรมการข้อตกลงคุณธรรม ปีละ 200,000 เป็นเวลา 3 ปี รวม 600,000 ด้วยเงินของ สตง. ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2567 บริษัทควรได้งานที่ 86.77% หากทำอย่างถูกต้อง แต่กลับก่อสร้างงานได้แค่ 33% และเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา คณะกรรมการตรวจรับพัสดุของ สตง. มีมติให้บอกเลิกสัญญา และอยู่ระหว่างการเสนอผู้มีอำนาจดำเนินการ แต่ปรากฏว่าผู้มีอำนาจหมดวาระ ต้องรอชุดใหม่เข้ามา เรื่องจึงอยู่ตรงนั้น และเกิดเหตุนี้ขึ้น”
รองผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน เผยอีกว่า หลังเกิดเหตุการณ์ตึก สตง. ถล่ม ทั้งที่ไม่ควรเกิดขึ้น หากทราบว่าเกิดขึ้นเพราะอะไร เราก็จะสามารถชี้ผู้ที่รับผิดได้ การที่ สตง. ไม่ต้องตั้งคณะกรรมการสอบหาข้อเท็จจริง ก็เพราะหากมีการตั้งคณะกรรมการจริง เรื่องก็จะยุติ เนื่องจากสิ่งที่เราทำอยู่ เรามีเอกสารอย่างละเอียดทุกประการ ฉะนั้น ขอให้หน่วยงานที่ถูกตั้งขึ้นโดยรัฐบาลเป็นผู้ตรวจสอบ และช่วยบอกหน่อยว่าตึกถล่มเพราะอะไร เราไม่ได้นิ่งเฉย เราได้เข้าไปบริเวณตึกถล่มทุกวัน รวมถึงเมื่อผู้เสียชีวิตไปถึงจังหวัดไหน สตง.จังหวัดนั้นต้องเข้าไปเป็นเจ้าภาพ หาก สตง. ตั้งคณะกรรมการสอบตัวเอง สตง. ก็จะไม่ผิด จึงต้องให้คนนอกตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบ เพื่อที่เราจะได้รู้ว่า ใครที่ต้องเป็นผู้รับผิดชอบ
“ส่วนเรื่องงานก่อสร้าง เราต้องเดินหน้าต่อ แต่ก็เห็นว่าจะทำตึกสูงเหมือนเดิมไม่ได้ และเราได้เช่าที่การรถไฟฯ บริเวณด้านหน้าเพิ่มอีก 4 ไร่ เราจึงจำเป็นที่จะต้องแก้แบบให้เป็นแบบแนวราบ กว้าง 50 ตารางวา ยาว 100 ตารางวา เอาทุกอย่างให้ไม่ต้องทันสมัย แอร์ก็ติดผนังธรรมดา เวลาเสียจะได้ไม่ต้องซ่อมยาก แล้วค่อยใส่ความทันสมัยในเทคโนโลยีเวลาทำงาน งบประมาณในการก่อสร้างคงจะไม่ถึง 2,000 ล้านบาท และจะไม่สร้างทับ บริเวณที่ตึกถล่ม จะขยับมาข้างหน้า รวมถึงจะใช้งบประมาณที่เหลือในการก่อสร้างต่อ”
ทางด้านตัวแทน สตง. ระดับบริหารอีกราย กล่าวชี้แจงกรณีเหล็กเส้นที่มีปัญหา ว่า สตง. กำหนดมาตรฐานของเหล็กไว้คือต้องได้ มอก. หรือเหล็กตัวที ที่ปรากฏไว้ใน มอก. เรารู้แค่นี้ เราไม่ใช่วิศวกรผู้เชี่ยวชาญ เราเป็นนักกฎหมายที่ดูตามเอกสารว่าต้องมีการพิจารณาอย่างไร และมีการยืนยันว่าเหล็กตัวทีสามารถใช้ได้ แต่มีข้อสังเกต 2 อย่างคือ เมื่อเป็นเหล็กตัวทีเขาไม่อยากให้เชื่อม ให้ใช้ข้อต่อเชิงกล และมีการทดสอบดัดโครงแล้ว เช่นเดียวกับเรื่องของคอนกรีตที่มีการกำหนดมาตรฐานไว้และมีการทดสอบทางโครงสร้างปรากฏว่า ค่าอยู่ที่ 400 กว่า มากกว่ามาตรฐานที่เราต้องการ
ในตอนท้าย นายสุทธิพงษ์ กล่าวเสริมว่า หากอยากตรวจสอบเรื่องเกี่ยวกับปูน ก็สามารถตรวจสอบได้ไม่ยาก เพราะเรามีบริษัทที่ทำเกี่ยวกับปูนแค่ 2 บริษัท การจะบอกว่าตึกเราเพิ่งเซ็ตตัวนั้นไม่ใช่แน่นอน เพราะตึกตั้งสง่ามา 4 ปีแล้ว.