ที่ประชุมสภาฯ ถกญัตติด่วน เร่งแก้วิกฤตเศรษฐกิจ รับมือสหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้า สส.กล้าธรรม แนะให้นึกถึงหัวอกเกษตรกรในการเจรจา อย่ามุ่งเอาสินค้าเกษตรเป็นตัวประกัน “ศิริกัญญา” หนุนรัฐบาลกู้เงินเพิ่ม ลุยกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ด้าน “ชลน่าน” เสนอญัตติคล้ายกัน แนะควรรวบอภิปราย จะได้ไม่ทำให้เสียเวลา
วันที่ 9 เมษายน 2568 เมื่อเวลา 11.00 น. ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีนายภราดร ปริศนานันทกุล รองประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนแล้ว นายอรรถกร ศิริลัทธยากร สส.ฉะเชิงเทรา พรรคกล้าธรรม เสนอญัตติด่วนด้วยวาจาขอให้สภาผู้แทนราษฎรศึกษาผลกระทบจากการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐอเมริกาที่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทย มาพิจารณาแทนร่างพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร มีสส.อีกหลายคนร่วมเสนอญัตติด่วนในทำนองเดียวกัน รวม 10 ญัตติ ที่ประชุมจึงให้พิจารณาไปพร้อมกัน โดยนายอรรถกรกล่าวเสนอญัตติว่า น.ส.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมว.เกษตรและสหกรณ์ เป็นห่วงการเจรจาของรัฐบาลไทยกับสหรัฐฯ จะกระทบต่อเกษตรกร ที่ผ่านมารัฐบาลมักเอาสินค้าเกษตรเป็นเงื่อนไขเจรจา การให้สิทธิพิเศษแก่ประเทศคู่ค้าอาจส่งผลต่อเกษตรกร ขอให้รัฐบาลคำนึงถึงผลกระทบต่อเกษตรกร คิดถึงหัวอกเกษตรกร เจรจาด้วยความรอบคอบ คำนึงถึงรากเหง้าของประเทศให้เสียดุลมิติทางการเกษตรน้อยที่สุด รวมถึงข้อเรียกร้องการอนุญาตให้นำเข้าสินค้าการเกษตรบางชนิดเข้าประเทศไทย อาจกระทบต่อราคาสินค้าเกษตรไทยตกต่ำมากกว่าเดิม เราไม่ได้ค้าขายกับสหรัฐฯ ประเทศเดียว มี 4 ข้อเสนอคือ 1. อยากเห็นการเจรจาอย่างรัดกุมให้กระทบต่อเกษตรกรน้อยที่สุด 2. ให้รัฐบาลหาทางลดความเสี่ยง โดยหาประเทศคู่ค้าเพิ่ม ไม่ใช่สหรัฐฯ อย่างเดียว 3. มีมาตรการรองรับสินค้าที่จะไหลทะลักจากยุโรปมายังเอเชีย 4. มีมาตรการเยียวยาเกษตรกรที่จะได้รับผลกระทบจากการเจรจาให้ดีที่สุด
...
น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน อภิปรายว่า การขึ้นกำแพงภาษีสหรัฐสร้างผลกระทบหนักหนารุนแรงต่อเศรษฐกิจโลกรุนแรงกว่าทุกครั้ง เกิดการตัดราคาสินค้า การหาตลาดใหม่ๆ ทำให้สินค้าต่างๆ ไหลเข้าประเทศไทย สินค้าไทยที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ 3 อันดับแรกคือ อุปกรณ์สื่อสารไวไฟ ฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟ แผงโซลาร์เซลล์ ไม่ใช่แค่ผู้ส่งออกได้รับผลกระทบ แต่รวมถึงแรงงานที่เสี่ยงถูกเลิกจ้าง ไม่มีใครคาดการณ์ได้สงครามการค้าโลกจะสิ้นสุดลงเมื่อใด เพราะสหรัฐฯ บอกมี 70 ประเทศต่อคิวเข้าเจรจาลดกำแพงภาษี ยิ่งมีการตอบโต้มาตรการภาษีไปมาระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ย่อมส่งผลกระทบมาถึงประเทศไทย แต่ไพ่ที่เราจะไปเจรจาไม่ได้มีอะไรอัศจรรย์ ใหญ่เบิ้มอย่างที่สหรัฐฯ ต้องการ แต้มต่อที่เคยมีหายไปทุกวัน ปฏิเสธไม่ได้การส่งชาวอุยกูร์กลับจีน ทำให้มิตรกลายเป็นอื่น ยิ่งมีการแจ้งจับนักวิชาการสหรัฐฯ ข้อหามาตรา 112 ไม่ให้ประกันตัว ไม่รู้เขาจะเจรจากับเราหลังมีเรื่องนี้หรือไม่
น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า ไม่ได้ติดใจการไม่เร่งรีบเจรจาของรัฐบาลไทยกับสหรัฐ แต่เรื่องเร่งด่วนที่รัฐบาลต้องรีบทำควบคู่กับการเจรจาคือ การเยียวยากระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ ยิ่งการเจรจากินเวลาต่อเนื่อง ยิ่งกระทบปากท้องประชาชนมากขึ้น จากการคาดการณ์จีดีพีกรณีเลวร้ายที่สุดอาจโตแค่ 1% สูงสุดไม่เกิน 2.3% รัฐบาลเตรียมมาตรการฉุกเฉินอะไรบ้าง หลายประเทศออกมาตรการเยียวยาผลกระทบ อาทิ เกาหลีและญี่ปุ่นใต้มีแพคเกจเยียวยา ภาคอุตสาหกรรมรถยนต์ ออสเตรเลียให้สินเชื่อเอกชนในการหาตลาดใหม่ๆ การเยียวยาเฉพาะหน้ามีความจำเป็น รัฐบาลต้องรีบทำ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ แต่ยังไม่เห็นมาตรการรูปธรรมจากภาครัฐ ปัญหาเฉพาะหน้าขณะนี้ใหญ่หลวง ต้องมีมาตรการฉุกเฉินเฉพาะหน้า ระยะกลาง ระยะยาว กระตุ้นเศรษฐกิจไปพร้อมกัน งบประมาณการคลังที่เหลืออยู่มีน้อยมาก หนี้สาธารณะใกล้ชนเพดาน เหลือพื้นที่กู้เพิ่มได้ในงบประมาณปี 2568 อีก 4-5 แสนล้านบาท หากวิกฤติที่จะเผชิญในวันข้างหน้า รัฐบาลจำเป็นต้องออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ถ้าต้องขยายกรอบเพดานหนี้สาธารณะ เพื่อกู้เงินเพิ่ม สภาฯ ยินดีสนับสนุน ถ้าไม่ได้กู้เพื่อไปแจกเงินอย่างสะเปะสะปะ มีแผนชัดเจนเพื่อพยุงเศรษฐกิจ ฟื้นฟูประเทศ ให้กู้เลยนำงบมาเยียวยาภาคอุตสาหกรรม แรงงาน ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจอย่างจริงจัง เพิ่มความสามารถแข่งขัน กระตุ้นการลงทุนภาคเอกชน ขออย่างเดียวอย่ากู้ไปแจก เทน้ำลงบ่อทราย ตีเช็กเปล่าให้ตัวเอง วันนี้วิกฤติใหญ่หลวง ทั้งลึกและกว้าง ต้องจับมือไปก้าวข้ามไปด้วยกัน ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ใช้โอกาสนี้ปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ
ต่อมา นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่าน พรรคเพื่อไทย ได้ลุกขึ้นอภิปรายถึงการเสนอญัตติด่วนด้วยวาจา ว่า การทำงานของสภาผู้แทนราษฎรในสมัยนี้ หรือสมัยที่ผ่านมา จะมีภาพเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นประจำ วิธีการเสนอญัตติด้วยวาจาต้องอาศัยข้อบังคับ 66 เปิดโอกาสให้เพื่อนสมาชิกเสนอญัตติด่วนด้วยวาจา และเมื่อมีการเสนอ มีการรับญัตติ มีการพิจารณาญัตติที่มีทำนองเดียวกัน จะเสนอขึ้นมาอีกไม่ได้ ทำให้ถูกตกไป หากมีคนเสนอญัตติ 20 คน ไม่มีผู้อภิปรายสนับสนุน ดังนั้นประธานต้องอนุญาตให้มีผู้อภิปราย 1 คน ที่เหลือจะเป็นการอภิปรายสลับระหว่างผู้ค้านและผู้สนับสนุน หากไล่เลียงแบบนี้จะไม่มีปัญหาเกิดขึ้น แต่หากญัตติที่เสนอแตกต่างกัน เช่น อีกฝ่ายส่งเรื่องให้คณะรัฐมนตรีดำเนินการ ส่วนอีกฝ่ายเสนอให้มีการตั้งกรรมาธิการ แต่สารคล้ายกันอันนี้สามารถเสนอได้ อย่างมากก็จะมีเพียง 2 ญัตติ อย่างที่ผ่านมามี 11 ญัตติ ต้องรอสรุปทั้ง 11 ญัตติ ส่วนเรื่องที่สอง หากประธานอนุญาตให้มีการพิจารณารวมกัน หากญัตติที่เนื้อหาต่างกันต้องรวมกันให้ได้ ไม่งั้นจะเกิดเหตุการณ์เหมือนวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา
นายภราดร ได้ชี้แจงว่า เมื่อสัปดาห์ที่แล้วตนก็มีความเห็นเดียวกับ นพ.ชลน่าน และคาดว่าจะมี 11 ญัตติตามที่ให้ไปรวมกัน เมื่อไม่มีใครอภิปรายแล้วให้ผู้เสนอญัตติเป็นคนสรุป เมื่อสัปดาห์ที่แล้วก็มีผู้เสนอญัตติแล้ว และมีสมาชิกทักท้วงว่ามีสองประเด็น ซึ่งอาจเป็นความเข้าใจผิดของตน เมื่อมีผู้สรุปญัตติแล้วหมายความว่าเราจบญัตติเรียบร้อย จะมีการสรุปญัตติและปิดการอภิปราย พร้อมนำข้อเสนอของสภาส่งไปให้รัฐบาล แต่เมื่อสมาชิกทักท้วงว่ามีอีกหนึ่งญัตติที่คล้ายกันแต่ไม่สามารถนำเสนอได้ เพราะสรุปญัตติและปิดอภิปรายแล้ว จึงเป็นทางออกที่สองฝ่ายดำเนินการร่วมกัน วันที่ 10 เม.ย. จะมีการเสนอญัตติด่วนอีกครั้ง การอภิปรายของ นพ.ชลน่าน ตนค่อนข้างเห็นด้วยและเชื่อว่าข้อบังคับสามารถดำเนินการได้ ส่วนข้อบังคับ 66 ตนเข้าใจว่าผู้ที่มีสิทธิ์อภิปรายก่อนน่าจะหมายถึงคนที่เสนอญัตติร่วมกัน และผู้ที่เสนอญัตติจะมีหน้าที่อภิปรายเปิดญัตติ ใครเห็นด้วยหรือเห็นต่างสามารถอภิปรายสลับได้ แต่ในกรณีที่มีผู้เสนอญัตติเดียวกันหลายญัตติ จำเป็นต้องให้ผู้เสนออภิปรายในหลักการและเหตุผล ตนเห็นด้วยกับ นพ.ชลน่าน ข้อได้เปรียบของผู้เสนอญัตติไม่จับเวลา ทำให้มีเวลาอภิปรายได้ยาวขึ้น จึงทำให้มีญัตติเต็มไปหมด ตนได้บอกกับทุกวิปว่าควรจะตกลงให้เรียบร้อยก่อนที่จะเข้ามาสู่ที่ประชุม ว่าผู้เสนอญัตติจะเป็นใคร เมื่อวานก็มีการคุยแล้วว่าให้ฝ่ายละ 1 ญัตติ แต่เรื่องนี้มีความสำคัญเลยมีผู้สนใจจะร่วมอภิปรายและร่วมเสนอญัตติ โดยเฉพาะพรรคการเมืองต่างๆ ก็อยากจะใช้สิทธิ์ ไม่ใช่เรื่องผิดข้อบังคับ สามารถทำได้ แต่ในอนาคตอยากให้วิปทั้งสองฝ่ายร่วมหาข้อตกลง หากเป็นไปได้ในฐานะผู้เสนอญัตติขอให้เป็นฝ่ายละหนึ่งคนเพื่อประหยัดเวลา ส่วนใครอยากอภิปรายก็มาเป็นผู้สนับสนุนญัตติแทน จะทำให้เวลาของสภาลดลงพอสมควร
ด้าน นายณัฐวุฒิ ประเสริฐสุวรรณ สส.สุพรรณบุรี พรรคชาติไทยพัฒนา ลุกขึ้นกล่าวว่า การเสนอของ นพ.ชลน่าน เป็นหลักการที่เป็นไปตามข้อบังคับการประชุม การเสนอญัตติตนเชื่อว่าเสนอได้หลายญัตติ แต่ต้องระบุว่ามีวัตถุประสงค์จะให้ทำอะไรต่อ เช่น ส่งให้รัฐบาลหรือตั้งกรรมาธิการ แต่ญัตติการขึ้นภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์ กระทบหลายด้าน สมาชิกสามารถส่งให้กรรมาธิการที่เกี่ยวข้องได้ ขึ้นอยู่กับญัตติและข้อระเบียบในการประชุม