“แพทองธาร” เรียกประชุมรับมือภาษีสหรัฐฯ วางยุทธศาสตร์ “รู้เขา รู้เรา เร็ว แม่นยำ” เผย USTR ตอบรับหารือไทยแล้ว ด้าน “พิชัย” เปิด 5 มาตรการ ขึ้นโต๊ะเจรจา วางเป้า Win-Win ชี้สหรัฐฯ ไม่ได้ต้องการให้ไทยลดภาษี แต่ต้องการให้เกิดความสมดุลทางการค้า
เมื่อเวลา 13.45 น. น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานการประชุมหารือมาตรการรับมือกับนโยบายภาษีของสหรัฐอเมริกา โดยมีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมว.เกษตรและสหกรณ์ รวมทั้งคณะทำงานนโยบายการค้าสหรัฐอเมริกา เข้าร่วมประชุม อาทิ นายพันศักดิ์ วิญญรัตน์ ประธานที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี นายศุภวุฒิ สายเชื้อ ที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สืบเนื่องจากการประกาศใช้มาตรการ “Reciprocal Tariff” และ “Liberation Day” ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ถือเป็นการกำหนดกติกาการค้าโลกในรูปแบบใหม่ ที่อาจส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อระบบเศรษฐกิจโลก ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อเช้านี้วันที่ 8 เม.ย.นี้ ได้มอบหมายให้นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้าคณะไปพูดคุยกับหลายภาคส่วนของอเมริกา โดยจะได้มีการประสานนัดหมาย เพื่อทำการพูดคุยกับผู้ที่เกี่ยวข้อง ทั้งผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) และหน่วยงานอื่นๆ ของสหรัฐ เพื่อนำเอาข้อเสนอของไทยไปเจรจาต่อรอง ล่าสุดรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้รับการยืนยันจากผู้แทนการค้าสหรัฐฯ สำหรับการหารือเจรจาแล้ว
“สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ การวางยุทธศาสตร์และมาตรการต่าง ๆ ที่ตั้งอยู่บนหลักการรู้เขา และรู้เรา และรัฐบาลต้องอาศัยความเร็ว ซึ่งด้วยการจัดตั้งคณะทำงานมาตั้งแต่เดือน ม.ค. ก่อนประธานาธิบดีสหรัฐฯ เข้ารับตำแหน่งเสียอีก พร้อมประสานงานกับสหรัฐฯ มาตลอด นอกจากนี้ จะต้องแม่นยำ เพื่อให้การตัดสินใจตั้งอยู่บนข้อมูลที่ถูกต้องและรอบด้าน ติดตามความเคลื่อนไหวจากทุกภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบเพื่อประเมินและหาข้อสรุปในการเจรจา”
...
ภายหลังการประชุม เมื่อเวลา 14.50 น. นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง แถลงว่า ได้ข้อสรุปเรื่องสำคัญ 5 ประเด็นที่จะนำไปใช้เจรจากับผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) ซึ่งตนจะร่วมกับ รมว.พาณิชย์และปลัดกระทรวงพาณิชย์เดินทางไปเจรจาได้ในเร็ว ๆ นี้ ภายใต้การเตรียมข้อมูลที่พร้อมและตอบโจทย์ที่สหรัฐฯ ต้องการ ซึ่งไม่ใช่เรื่องการลดภาษี เห็นได้จากที่ประเทศเวียดนามเสนอลดภาษีให้สหรัฐฯ เหลือ 0% แต่สหรัฐฯ ก็ยังไม่พอใจ เพราะสหรัฐฯ มองว่ายังมีประเด็นอื่นๆ ที่เขายังเสียเปรียบ โดยเฉพาะเรื่องถิ่นกำเนิดของสินค้า ดังนั้นการเจรจาของไทยต้องบรรลุ 3 ข้อ คือ ลดหนี้ของสหรัฐฯ ลง ลดการเสียดุลการค้าของสหรัฐฯ และย้ายการผลิตไปสหรัฐฯ ให้มากที่สุด
ดังนั้น การเตรียมพร้อมเจรจาของไทยในเบื้องต้นประกอบด้วย 5 ประเด็น และจะทำงานอย่างหนัก ดูโจทย์ต่าง ๆ ให้ละเอียด เพื่อเกิดประโยชน์กับทั้ง 2 ฝ่าย ดังนี้ ประเด็นที่ 1 การหาโอกาสจากการนำเข้าพืชผลทางการเกษตร และผลิตภัณฑ์จากสัตว์จากสหรัฐ เพิ่มขึ้น เพื่อลดปัญหาการขาดดุลทางการค้า เช่น การนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของสหรัฐฯ เข้ามาผลิตเป็นอาหารสัตว์ เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบในประเทศ และนำเข้าเครื่องในสัตว์มาแปรรูปเพื่อสร้างมูลค่าและส่งออก ประเด็นที่ 2 การผ่อนคลายภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ ที่มีอยู่กว่า 100 รายการ ซึ่งปกติตรงนี้ไทยเก็บภาษีได้ไม่มากอยู่แล้ว
ประเด็นที่ 3 การแก้ไขปัญหาการขาดดุลการค้า ผ่านการลดขั้นตอนที่นอกเหนือจากมาตรการกีดกันทางการค้าที่มิใช่ภาษี (Non-Tariff Barriers) ที่เป็นอุปสรรคต่อการค้า ซึ่งที่ผ่านมาประเทศไทยมีกฎระเบียบขั้นตอนที่ซ้ำซ้อนจำนวนมาก จึงจำเป็นต้องเร่งแก้ไขทั้งหมด ประเด็นที่ 4 การตรวจสอบคัดกรองสินค้าป้องกันการหลบเลี่ยงภาษีของสหรัฐฯ จากประเทศอื่น ๆ โดยจะมีการออกใบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าให้รอบคอบมากขึ้น เพื่อป้องกันสินค้าที่ใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่านให้น้อยที่สุด ประเด็นที่ 5 การหาโอกาสการลงทุนในสหรัฐฯ เช่น การพิจารณาลงทุนด้านการขนส่งในแหล่งก๊าซธรรมชาติของสหรัฐฯ ในอลาสก้า หรือการลงทุนแปรรูปสินค้าเกษตรในสหรัฐฯ
“ประเทศไทยไม่ได้ทำเพราะสหรัฐฯ ยื่นข้อเสนอโหดมาขู่ สหรัฐฯ จำเป็นต้องทำเพื่อประเทศของตัวเอง แต่สิ่งที่ไทยต้องทำคือ การเตรียมตัวรองรับ มีสิ่งใดที่ต้องทำ มีขีดความสามารถมากแค่ไหน เพื่อแก้ปัญหา และประเทศไทยต้องได้ประโยชน์ด้วย โดยแนวทางที่เลือกนี้จะไม่ใช่เรื่องการลดภาษี เพราะหากลดภาษีจะทำเสมอเหมือนกันทั้งหมด อยากให้มั่นใจวิธีการแก้ไขปัญหาของประเทศไทย ขอให้เชื่อมั่น เราคิดอยู่เสมอที่ผ่านการแก้ปัญหาแบบ Win-Win คือ ดีทั้งสหรัฐฯ และดีทั้งไทย พร้อมถือโอกาสยกระดับการทำงานของไทย และการผลิตของไทยให้เกิดความเชื่อมโยงมากขึ้น”
นายพิชัย กล่าวด้วยว่า ส่วนตัวมองว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นครั้งนี้ก็เป็นวิกฤต ก็กลุ้มใจอยู่ มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจใหญ่พอสมควรเรายังดูไม่ออก แต่ก็มีโอกาสในการแก้ปัญหาด้วย หลายประเทศทั่วโลกต่างได้รับผลกระทบอย่างหนัก ถ้าถามว่าประเทศไทยควรทำอะไรในตอนนี้อีก ตอนวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ จีนเลือกที่จะลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน สนามบิน สะพาน ถนน เพื่อเวลาจบวิกฤติจะได้ลุกได้ทันที ซึ่งในตอนนั้นจีนขยายเพดานหนี้สาธารณะ ซึ่งตนมีสิทธิ์ที่จะคิดเช่นกัน