“วิโรจน์” แฉส่วยสติ๊กเกอร์ตัว T ขนสินค้าจากลาวไม่ต้องมีพาสปอร์ตรถ ทำประเทศเสียหายปีละ 182 ล้าน ปูดขนมันเส้นราคาถูกผ่านด่านช่องเม็ก จี้ “รมว.คลัง-พาณิชย์” ตอบกระทบโครงการพยุงราคามันสำปะหลัง 300 ล้านหรือไม่
วันที่ 7 เมษายน 2568 นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร รองหัวหน้าพรรคประชาชน โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า ถ้าจ่ายค่าบริการ 1,000 บาท ก็จะได้สติ๊กเกอร์ตัว T มาติดหน้ารถ ทีนี้ก็จะเอารถบรรทุกไปขนสินค้าจากประเทศลาวมายังประเทศไทยได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีพาสปอร์ตรถ นี่จริงหรือครับ
ต่อมานายวิโรจน์ โพสต์ข้อความอีกว่า ประเด็นไม่ได้อยู่ที่การมีอยู่ของสติ๊กเกอร์ตัว T แต่อยู่ที่จ่าย 1,000 บาท ซื้อสติ๊กเกอร์ตัว T จากตัวแทนออกของ หรือชิปปิ้งบางรายที่ด่าน โดยไม่ต้องทำพาสปอร์ตรถที่กรมการขนส่งทางบก หรือสำนักงานขนส่งจังหวัด ต้องถามว่าแบบนี้ นี่ทำได้ด้วยหรือ
นายวิโรจน์ ระบุด้วยว่า จากนั้นก็สามารถขับรถบรรทุกเข้าไปขนสินค้าจากลาว โดยใช้แค่สติ๊กเกอร์ตัว T โดยไม่ต้องมีพาสปอร์ตรถ (รถบรรทุกจะเป็นเล่มสีเขียว) ได้จริงๆ หรือปกติแล้ว การจะนำรถข้ามไปยังประเทศลาว จะต้องไปทำพาสปอร์ตรถที่กรมการขนส่งทางบก หรือสำนักงานขนส่งจังหวัด ต้องมีเอกสารประกอบทั้ง สำเนาสมุดคู่มือจดทะเบียนรถ บัตรประจำตัวประชาชนเจ้าของรถ สำเนาหนังสือรับรองการจดทะเบียนนิติบุคคล (ในกรณีที่เป็นรถของบริษัท) หนังสือมอบอำนาจ สำเนาการจ่ายภาษีรถยนต์ จากนั้นก็จะได้ทั้งพาสปอร์ตรถและสติ๊กเกอร์ตัว T คำถามก็คือ ถ้าไปซื้อสติ๊กเกอร์ตัว T 1,000 บาท ที่ด่านมาติดหน้ารถบรรทุก แล้วก็เอารถบรรทุกเข้าไปรับสินค้าได้ โดยไม่ต้องมีพาสปอร์ตรถ ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกเรียกตรวจพาสปอร์ตรถ แล้วอย่างนี้ จะต้องหอบเอกสารหลักฐานความเป็นเจ้าของรถต่างๆ ไปทำพาสปอร์ตรถที่กรมการขนส่งทางบก หรือสำนักงานขนส่งจังหวัดทำไม
...
นายวิโรจน์ ระบุต่อว่า ต้องย้ำว่า สติ๊กเกอร์ตัว T เป็นแค่สัญลักษณ์ติดที่ตัวรถ แต่ส่วนสำคัญจริงๆ อยู่ที่เล่มพาสปอร์ตรถ!!!
“ถ้ามีรถทำแบบนี้สักวันละ 500 คัน ปีหนึ่งก็ 182.5 ล้านบาท เชียวนะ นี่ยังไม่นับผลกระทบต่อประเด็นความมั่นคงต่างๆ ทั้งการนำรถโจรกรรมไปขาย การลักลอบนำเข้าสินค้าหนีภาษี สินค้าผิดกฎหมาย ยาเสพติด ค้ามนุษย์ ฯลฯ”
นายวิโรจน์ ระบุอีกว่า การที่เอารถบรรทุกไปขน มันเส้นราคาถูกจากลาว ที่ช่องเม็ก เข้ามาผลิตเอทานอลในประเทศไทย เราไม่กังวลกันเลยหรือว่า โครงการชดเชยดอกเบี้ยในการเก็บสต็อกมันสำปะหลัง ปี 2567/68 วงเงิน 300 ล้านบาท ที่สนับสนุนดอกเบี้ยแก่ผู้ประกอบการลานมัน โรงแป้ง โรงงานเอทานอลที่กู้ยืมเงินจากธนาคารพาณิชย์หรือธนาคารของรัฐ ให้มีสภาพคล่องในการรับซื้อมันสำปะหลัง และแปรรูปเก็บสต็อกในรูปแบบมันเส้น หรือแป้งมัน เป็นระยะเวลา 60 - 180 วัน เพื่อดึงผลผลิตส่วนเกินออกจากตลาด (เป้าหมาย 6 ล้านตันหัวมันสด) โดยรัฐชดเชยดอกเบี้ยแก่ผู้เข้าร่วมโครงการฯ ในอัตราร้อยละ 3 ต่อปี ตามระยะเวลาที่เก็บสต็อก และมีระยะเวลารับซื้อ ตั้งแต่ 1 มกราคม-31 พฤษภาคม 2568 ระยะเวลาเก็บสต็อก ตั้งแต่ 1 มกราคม-30 พฤศจิกายน 2568 ระยะเวลาโครงการ ตั้งแต่วันที่ ครม.มีมติ-31 ตุลาคม 2569
นายวิโรจน์ ระบุต่อไปอีกว่า ตกลงแล้ว เงินภาษีของพวกเรา 300 ล้านบาท ตกลงแล้วจะสามารถช่วยพยุงราคามันสำปะหลัง และเกิดประโยชน์แก่เกษตรกรไทยผู้ปลูกมันสำปะหลังได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยหรือเปล่า 500 คันต่อวัน คันละ 1,000 บาท ปีละ 182.5 ล้านบาท มีใบเสร็จหรือไม่ เงินเข้ากระเป๋าใคร. นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ในฐานะที่กำกับดูแลกรมศุลกากร ต้องมีคำตอบในเรื่องนี้ ในขณะที่นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ ก็ควรต้องให้คำตอบเกี่ยวกับประสิทธิภาพของงบประมาณในโครงการพยุงราคามันสำปะหลังด้วยเช่นกัน