ประชุมผู้นำ BIMSTEC ร่วมยืนสงบนิ่งอาลัยผู้ได้รับผลกระทบแผ่นดินไหว “นายกฯ อิ๊งค์” แสดงวิสัยทัศน์กรุงเทพฯ 2030 ชงผลักดันบิมสเทค FTA ปลดล็อกการค้า ตั้งศูนย์จัดการภัยพิบัติ-แก้อาชญากรรมร่วมกัน ไร้ถกการเมืองเมียนมา

เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 4 เมษายน 2568 น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมผู้นำความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอลสำหรับความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจ หรือ การประชุมผู้นำบิมสเทค (BIMSTEC) ที่โรงแรมแชงกรี-ลา กรุงเทพฯ โดยก่อนการประชุม น.ส.แพทองธาร กล่าวแสดงความเสียใจต่อผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุแผ่นดินไหวที่ประเทศเมียนมา พร้อมขอให้ผู้เข้าร่วมประชุมยืนสงบนิ่งเป็นเวลา 1 นาที เพื่อรำลึกถึงผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติครั้งนี้

จากนั้น น.ส.แพทองธาร กล่าวต้อนรับผู้นำและผู้แทนระดับสูงจากประเทศสมาชิกสู่การประชุมผู้นำบิมสเทค ครั้งที่ 6 และกล่าวแสดงวิสัยทัศน์กรุงเทพฯ 2030 มีเนื้อหาสรุปว่า ศักยภาพทางเศรษฐกิจของบิมสเทค มีจำนวนประชากรรวมกันเกือบ 1 ใน 4 ของประชากรโลก จึงเสนอให้สมาชิกเร่งผลักดันการจัดทำบิมสเทค FTA ซึ่งจะเป็นกุญแจสำคัญในการปลดล็อกศักยภาพทางเศรษฐกิจ การค้า ด้านการลงนามความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการขนส่งทางทะเล จะเป็นการเชื่อมโยงเส้นทางการค้าทางทะเลที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ขณะที่โครงการแลนด์บริดจ์ (Landbridge) ของไทย จะช่วยเสริมการเชื่อมโยงระหว่างอ่าวไทยกับอ่าวเบงกอลด้วย และมุ่งมั่นร่วมมือกับทุกฝ่ายเพื่อเร่งรัดการก่อสร้างทางหลวงสำคัญระหว่างประเทศที่จะเชื่อมโยงประเทศไทยไปยังเมียนมาจนถึงอินเดียให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ซึ่งแผ่นดินไหวครั้งล่าสุดส่งผลกระทบต่อความคืบหน้าของโครงการ นอกจากนี้ สันติภาพ ความมั่นคง ความปลอดภัย และเสถียรภาพตามเส้นทางดังกล่าวยังมีความสำคัญต่อความสำเร็จของโครงการ ซึ่งไทยพร้อมทำงานร่วมกับประเทศสมาชิกเพื่อเผชิญกับความท้าทายเหล่านี้

...

น.ส.แพทองธาร กล่าวต่อไปว่า บิมสเทคจำเป็นต้องเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและความสามารถทางเทคโนโลยี โดยใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น AI และการเชื่อมต่อทางดิจิทัล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการปัญหาเร่งด่วน และเตรียมความพร้อมของภูมิภาคในการรับมือกับความท้าทายในปัจจุบันและอนาคต และจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวสะท้อนถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการเสริมสร้างความร่วมมือระดับภูมิภาคเพื่อจัดการภัยพิบัติในกลุ่มบิมสเทค ซึ่งไทยสนับสนุนข้อเสนอของอินเดียในการจัดตั้ง “ศูนย์จัดการภัยพิบัติ BIMSTEC” เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการตอบสนองต่อภัยธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพ และขอเน้นย้ำถึงการแก้ปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ เช่น การค้ามนุษย์ การค้ายาเสพติด และอาชญากรรมทางไซเบอร์ โดยขอความร่วมมือจากประเทศสมาชิกในการดำเนินการตามอนุสัญญา BIMSTEC ว่าด้วยการต่อต้านการก่อการร้าย อาชญากรรมข้ามชาติ และการค้ายาเสพติด เพื่อยกระดับความมั่นคงในภูมิภาคและความยืดหยุ่นพร้อมต่อการตอบสนองต่อภัยพิบัติ

ทั้งนี้ การมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่างๆ ทั้งในระบบเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาค SMEs จะมีบทบาทสำคัญในอนาคตของบิมสเทค จึงขอเสนอจัดตั้งสภาที่ปรึกษาธุรกิจ BIMSTEC (BIMSTEC Business Advisory Council) เพื่อเสริมสร้างเครือข่ายระหว่างภาคธุรกิจ และเพิ่มความยืดหยุ่นและความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจของภูมิภาคในระยะยาว ขณะที่การเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนในบิมสเทค ด้วยการส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในภูมิภาค ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจร่วมกัน และเน้นย้ำถึงบทบาทของบิมสเทคในการส่งเสริมสันติภาพและความมั่งคั่งร่วมกัน โดยประเทศไทยในฐานะประธานปัจจุบันของกรอบ Asia Cooperation Dialogue (ACD) มุ่งมั่นที่จะสร้างความร่วมมือระหว่าง BIMSTEC กับเวทีระหว่างประเทศอื่น ๆ เพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน สันติภาพ และเสถียรภาพในภูมิภาค

ในช่วงท้าย ที่ประชุมได้ร่วมกันรับรองปฏิญญาการประชุมผู้นำบิมสเทค ครั้งที่ 6 นอกจากนี้ยังมีการประกาศให้บังกลาเทศเป็นประธาน BIMSTEC ลำดับถัดไป ซึ่งนายกรัฐมนตรีมั่นใจว่าบังกลาเทศจะนำพา BIMSTEC ไปสู่ความสำเร็จและความเจริญรุ่งเรืองในอนาคต

ต่อมาเวลา 13.00 น. น.ส.แพทองธาร แถลงภายหลังการประชุมผู้นำบิมสเทค ครั้งที่ 6 มีเนื้อหาสรุปว่า รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ทำหน้าที่ประธานการประชุมผู้นำบิมสเทค ในฐานะที่ไทยเป็นเจ้าภาพการประชุมผู้นำบิมสเทค ครั้งที่ 1 เมื่อปี 2547 เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้พาบิมสเทคกลับมายังกรุงเทพมหานคร โดยแนวคิดหลักภายใต้การดำรงตำแหน่งประธานบิมสเทคของไทยคือ “บิมสเทคที่มั่งคั่ง ยั่งยืน ฟื้นคืน และเปิดกว้าง” ท่ามกลางสถานการณ์ระหว่างประเทศและความท้าทายในภูมิภาค บิมสเทคจะเป็นกลไกสำคัญในการเสริมสร้างความร่วมมือและการดำเนินการร่วมกัน โดยวันนี้ผู้นำรัฐสมาชิกบิมสเทคได้รับรองเอกสารผลลัพธ์สำคัญ 6 ฉบับ อาทิ วิสัยทัศน์กรุงเทพฯ 2030 ที่กำหนดยุทธศาสตร์เพื่อสร้าง “บิมสเทคที่มั่งคั่ง ยั่งยืน ฟื้นคืน และเปิดกว้าง” ปฏิญญาการประชุมผู้นำบิมสเทค ครั้งที่ 6 ซึ่งเป็นการยืนยันถึงเจตนารมณ์ของพวกเราในการส่งเสริมบิมสเทคและผลักดันวิสัยทัศน์กรุงเทพฯ 2030 การเป็นสักขีพยานในการลงนามความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการขนส่งทางทะเล ซึ่งจะลดต้นทุนค่าขนส่งสินค้า รวมถึงรับรองแถลงการณ์ร่วมว่าด้วยผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในเมียนมาและไทย ซึ่งเป็นการแสดงความเสียใจ ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และความมุ่งมั่นของบิมสเทคในการสนับสนุนประเทศที่ได้รับผลกระทบ

จากนั้น นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ตอบคำถามสื่อมวลชนไทยและต่างประเทศ ว่า ที่ประชุมบิมสเทคครั้งนี้ไม่ได้มีการหารือถึงสถานการณ์การเมืองภายในของเมียนมา มีเพียงการพูดคุยถึงเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้น การที่ไทยในฐานะประธานการประชุมครั้งนี้เชิญผู้นำเมียนมาเข้าร่วมประชุมด้วย เป็นไปตามกฎบัตรบิมสเทค ที่ต้องเชิญผู้นำทุกประเทศมาร่วมประชุม รวมถึงเป็นการสร้างความมั่นใจว่าข้อตกลงทุกอย่างจะได้รับการรับรองจากทุกประเทศสมาชิก เมื่อถามถึงกรณีที่สหรัฐอเมริกาประกาศมาตรการขึ้นภาษีนำเข้า นายนิกรเดช ระบุว่า ไม่ได้มีการหารือในที่ประชุม เป็นเพียงการหารือภายใต้กรอบความร่วมมือของกลุ่มประเทศบิมสเทคเท่านั้น

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า สำหรับกลุ่มสมาชิกบิมสเทคที่ถูกสหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้า ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือ เมียนมา 45%, ศรีลังกา 44%, บังกลาเทศ และไทย 37%, อินเดีย 27% ขณะที่เนปาลและภูฏาน 10%

จากนั้นเวลา 13.20 น. นายกรัฐมนตรีหารือทวิภาคีกับ ศาสตราจารย์มูฮัมหมัด ยูนุส (H.E. Professor Muhammad Yunus) ประธานคณะที่ปรึกษารัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ ต่อด้วยเวลา 13.50 น. จะหารือทวิภาคีกับ น.ส.หรินิ อมรสูริยะ (Dr. Harini Amarasuriya) นายกรัฐมนตรีศรีลังกา ซึ่งได้พูดคุยในประเด็นความร่วมมือด้านการพัฒนาเศรษฐกิจร่วมกัน รวมไปถึงการเชื่อมโยงระหว่างกัน และในเวลา 15.00 น. น.ส.แพทองธาร จะนำนายนเรนทร โมที นายกรัฐมนตรีอินเดีย เยี่ยมชมวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร (วัดโพธิ์)