“พ.ต.อ.ทวี” รมว.ยุติธรรม ลุยตรวจบริษัทต่างชาติสร้างตึก สตง. นอมินีหรือไม่ ชี้ ขาดทุนมาตลอด ซ้ำไม่มีการเสียภาษี ระบุ ส่อเข้าข่ายเป็นคดีพิเศษ-ฮั้วประมูล หลังต่ำกว่าราคากลางเพียง 1%

เมื่อเวลา 09.25 น. วันที่ 1 เมษายน 2568 พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวที่ทำเนียบรัฐบาล ถึงการช่วยเหลือเยียวยาผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตเหตุอาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ถล่มจากแผ่นดินไหว ว่า เรื่องการเยียวยาจะเกิดขึ้นตามพระราชบัญญัติที่มีการกระทำผิดทางอาญา กรณีดังกล่าวหากมีการร้องทุกข์กล่าวโทษ ประมาททำให้เสียชีวิต ถือเป็นฐานความผิดทางอาญา ก็จะไปเข้าข้อกฎหมาย

ในการช่วยเหลือเยียวยาของเหตุภัยพิบัติมีหลายกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น หน่วยงานที่ดูแลโดยตรงอย่างกระทรวงมหาดไทย สำนักนายกรัฐมนตรี ต้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณา ในส่วนของรัฐบาลมองว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเหมือนโศกนาฏกรรม ต้องดูแลช่วยเหลือเต็มที่ ดังนั้น การเยียวยาทางด้านจิตใจและที่เป็นตัวเงินจะต้องมี ซึ่งในการเยียวยาเหตุภัยพิบัติสามารถทำได้เลยไม่ต้องรอให้คดีสิ้นสุด นอกจากนี้รัฐบาลอาจจะมีมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในการช่วยเหลือเยียวยาเพิ่มเติม

...

พ.ต.อ.ทวี กล่าวต่อไปว่า สำหรับของกระทรวงยุติธรรม จะเข้าไปดูแลเรื่องหนี้สินครัวเรือน รวมถึงจัดเจ้าหน้าที่จิตวิทยาเข้าไปดูเกี่ยวกับสภาพจิตใจ แต่ในส่วนของกระทรวงยุติธรรม มีอยู่ 3 ประเด็นที่จะเข้าข่ายความผิด

1. การประกอบธุรกิจบุคคลต่างด้าวที่ใช้นอมินี เท่าที่ดูจากงบการเงินที่เผยแพร่กันอยู่ของบริษัทดังกล่าว ขาดทุนมาตลอดและไม่มีการเสียภาษี อีกทั้งมีการนำเงินของบริษัทไปให้กรรมการกู้จำนวน 2,000 ล้านบาท แม้อำนาจที่แท้จริงจะให้ต่างชาติ 49% คนไทย 51% แต่หากมองในลักษณะมีอำนาจครอบงำ จะเห็นในเรื่องของการบริหาร ดังนั้น จึงต้องเข้าไปดู ประกอบกับการตรวจสอบสถานที่เดียวกัน กลุ่มคนเดียวกัน มีบริษัทในลักษณะนี้ 10 บริษัท ต้องดูว่ามีการกระทำใดที่เป็นความผิดในพระราชบัญญัติประกอบธุรกิจบุคคลต่างด้าว และเข้าข่ายที่จะให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เข้าไปดำเนินการหรือไม่

2. หากสินค้าไม่ได้มาตรฐานอุตสาหกรรม ดีเอสไอมีอำนาจในการสอบสวน

3. การจัดซื้อจัดจ้างที่เรียกว่าฮั้วประมูล หากเกินกว่า 30 ล้านบาทขึ้นไป ดีเอสไอมีอำนาจเข้าไปตรวจสอบ เพราะเบื้องต้นเห็นว่าต่ำกว่าราคากลางเพียง 1% เท่านั้น ปกติการประมูลที่ไม่มีการแข่งขันควรต่ำกว่า 10-15%

ผู้สื่อข่าวถามต่อกรณี บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด มีบริษัทเครือข่ายเดียวกันกว่า 24 บริษัทนั้น พ.ต.อ.ทวี ระบุว่า ทราบจากการรายงานของอธิบดีดีเอสไอ จะมีการประชุมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีเรื่องที่จะต้องเร่งดำเนินการ คือการตรวจสอบว่าเพราะเหตุใดถึงเกิดเหตุแค่ตึกเดียว จะดูว่ามีการกระทำผิดหรือไม่ ซึ่งมีข้อมูลทางทะเบียนไปตรวจสอบ เรื่องการเสียภาษีที่เกี่ยวกับกรมสรรพากร รวมถึงการตรวจสอบในเชิงลึก คือการนำบุคคลที่เกี่ยวข้องมาซักถาม ก็จะได้ข้อมูล โดยได้กำชับให้ดีเอสไอเร่งดำเนินการ

ทางด้านคำถามว่าจะพุ่งเป้าไปที่บริษัท ไชน่า เรลเวย์ฯ ก่อนใช่หรือไม่ พ.ต.อ.ทวี ตอบว่า นายกรัฐมนตรีสั่งการให้กระทรวงยุติธรรมร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์ ปัจจุบันต้องยอมรับว่าเศรษฐกิจของไทยเหมือนจีดีพีจะโต แต่คนไทยไม่ได้ประโยชน์ จึงจะไปดูว่าหากเราบังคับใช้กฎหมายธุรกิจของคนต่างด้าวให้เป็นไปตามกฎหมาย เงินที่จะไปสู่คนต่างด้าวเพียงอย่างเดียว ต้องกลับมาหาคนไทย 51% ซึ่งไม่ใช่เฉพาะเคสนี้ แต่จะดูธุรกิจทั้งหมดที่คนต่างด้าวดำเนินการ โดยให้สำนักความมั่นคงของดีเอสไอไปดูเรื่องนอมินีทั้งหมด.