“อนุทิน” ในฐานะผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ลงนามประกาศยกระดับการจัดการสาธารณภัย “แผ่นดินไหว” เป็นระดับ 3 เร่งให้ความช่วยเหลือประชาชน หลังเหตุคลี่คลายเร่งฟื้นฟู
วันที่ 28 มีนาคม 2568 กองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (บกปภ.ช.) ออกประกาศ เรื่อง ยกระดับการจัดการสาธารณภัยขนาดใหญ่ (ระดับ 3) ลงนามโดย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ประกาศ ณ วันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2568 มีเนื้อหาว่า
ตามที่ได้เกิดเหตุแผ่นดินไหวบนบก บริเวณประเทศเมียนมา ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของอำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประมาณ 326 กิโลเมตร ขนาด 8.2 ความลึก 10 กิโลเมตร ที่ละติจูด 21.682 องศาเหนือ และลองจิจูด 96.121 องศาตะวันออก บริเวณประเทศเมียนมา ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของอำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประมาณ 326 กิโลเมตร เมื่อเวลา 13.20 น. ของวันที่ 28 มีนาคม 2568 เบื้องต้นได้รับความรู้สึกสั่นไหวในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลางและภาคใต้ และสถานการณ์ดังกล่าวมีความรุนแรง สร้างความเสียหายและก่อให้เกิดอันตรายแก่ชีวิต ร่างกาย ทรัพย์สินของประชาชนเป็นบริเวณกว้าง
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 13 แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2550 ประกอบแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2564-2570 จึงมีประกาศ ดังนี้
1. ยกระดับการจัดการสาธารณภัย เป็นการจัดการสาธารณภัยขนาดใหญ่ (ระดับ 3) ตามแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2564-2570
2. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ดำเนินการและปฏิบัติตามนโยบายรัฐบาล ตลอดจนอำนวยการ ประสานการปฏิบัติ ประเมินการณ์ ติดตาม เฝ้าระวัง วิเคราะห์สถานการณ์ รายงาน และเสนอความคิดเห็นต่อนายกรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาสั่งการเชิงนโยบาย โดยมีอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในฐานะผู้อำนวยการกลางเป็นผู้ช่วย
...
3. จัดตั้งกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ขึ้น ณ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
4. กองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ จัดตั้งส่วนสนับสนุนการปฏิบัติงานในภาวะฉุกเฉิน (สปฉ.) ตามที่ผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติเห็นสมควร และให้ประสานการให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ประสบภัย โดยมีหน่วยงานตามแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ตลอดจนหน่วยงานภาคส่วนต่างๆ ทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ประชาชนจิตอาสา เร่งดำเนินการให้ความช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในด้านต่างๆ โดยเร็ว และเมื่อสถานการณ์ในพื้นที่คลี่คลาย จะเร่งสำรวจความเสียหายในด้านต่างๆ อาทิ ด้านชีวิต ด้านที่อยู่อาศัย ด้านการประกอบอาชีพ สิ่งสาธารณประโยชน์ โครงสร้างพื้นฐาน เป็นต้น เพื่อทำการฟื้นฟูให้ประชาชนสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติโดยเร็ว