ผู้นำฝ่ายค้าน ปิดจบอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ อิ๊งค์ ซัด 3 ข้อ ขาดความรู้ความสามารถ วุฒิภาวะ และเจตจำนงทางการเมือง ถาม “ทักษิณ” ป่วยเป็นโรคอะไร บอกตนเองเป็นลูกสาวถูกกระทำ แล้วลูกสาวคนเสื้อแดงไม่ถูกกระทำหรือไม่ ทำฝั่งเพื่อไทยประท้วงวุ่นเกือบอภิปรายไม่จบ

เมื่อเวลา 21.33 น. วันที่ 25 มีนาคม 2568 ที่อาคารรัฐสภา นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน กล่าวสรุปปิดจบการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ว่า จากคำชี้แจงนายกรัฐมนตรีมีการเปิดประเด็นใหม่หลายเรื่อง จึงขอขอบคุณเพื่อนสมาชิกคณะรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีที่ใช้เวลาร่วมกันใน 2 วัน โดยนายกรัฐมนตรีเปิดประเด็นใหม่ที่ไม่ได้อยู่ในญัตติว่าพรรคประชาชนและพรรคเพื่อไทยมีหัวอกเดียวกันใช่หรือไม่ เพราะโดนนิติสงครามมาเหมือนกัน แต่ขอตั้งคำถามว่านายกรัฐมนตรีจะออกจากคำถามนี้ได้อย่างไร เพราะบอกเองว่าพรรคเพื่อไทยมีนโยบายในการแก้รัฐธรรมนูญแต่การกระทำกลับไม่เหมือนที่พูดไว้ซึ่งตนเองยินดีให้นายกฯ ลุกขึ้นชี้แจง จึงขออย่าอ้างเรื่องข้อกฎหมายว่าเรามีข้อแตกต่างเรื่องการทำประชามติ ทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นเหตุผลบังหน้าทางการเมือง โดยสิ่งที่ตนอภิปรายไปและให้การสัมภาษณ์ต่อหน้าสื่อมวลชนจริงๆ ตนเองใช้คำว่าภาวะการเป็นผู้นำของนายกฯ น้อยครั้งมาก

จึงขอพูดคุณสมบัตินายกฯ 3 ข้อ คือเรื่องความรู้ความสามารถ วุฒิภาวะ และเจตจำนงทางการเมือง โดยเฉพาะเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่าเจตจำนงทางการเมืองอยู่ตรงไหน

ขณะที่เรื่องความรู้ความสามารถ ตนเองมองว่าเป็นเรื่องที่สามารถเรียนรู้กันได้ เพราะตนเองและเพื่อนสมาชิกหลายคนก็เพิ่งเข้าสู่ชีวิตทางการเมือง

ส่วนเรื่องวุฒิภาวะ นายกฯ เคยเป็นผู้บริหารอาจจะใช้วิธีการสั่ง แต่การฟังมากกว่าพูดอาจจะเพิ่มวุฒิภาวะได้

...

และเรื่องสุดท้ายคือเรื่องเจตจำนงทางการเมือง ขอถามว่าเหตุผลที่มาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตอนนี้คืออะไร

นายณัฐพงษ์ กล่าวอีกว่า ที่เมื่อช่วงบ่ายวันนี้มีการเล่าถึงเรื่องชีวิตช่วงรัฐประหารคนไทยทั้งประเทศเข้าใจความรู้สึกดีและตนเองก็เข้าใจดีแต่ นายกฯ พยายามมาเล่าว่าตัวเอง ในฐานะลูกสาวของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ถูกกระทำ จึงขอตั้งคำถามว่าลูกสาวคนเสื้อแดงที่ร่วมต่อสู้ที่ต้องสูญเสียไป ลูกสาวของเขาเหล่านั้นรู้สึกอย่างไร ตัวเองเชื่อว่าหลายคนรู้สึกโกรธ รู้สึกเศร้ากับการเมืองที่เป็นแบบนี้

“หากจะเอาเรื่อง 20 ปีที่แล้วมาเล่าว่าจะไม่เดินไปข้างหน้า สำหรับตนเองความขัดแย้งทางการเมือง 20 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยสูญเสียทุกอย่างเพื่อเอานายทักษิณออกนอกประเทศ จะเกิดขึ้นจากใครให้ลองคิดเอาเอง แต่ 20 ปีต่อมาประเทศไทยจะสูญเสียไปอีกครั้งเพื่อนายเอานายทักษิณกลับมา ท่านไปร่วมขบวนการกับพวกเขาแล้วและเปลี่ยนอะไรไม่ได้ นี่คือการอภิปรายบนพื้นฐานข้อเท็จจริง” นายณัฐพงษ์ กล่าว

นายณัฐพงษ์ กล่าวต่อว่า 2 วันที่ผ่านมานี้ นายกฯ พยายามโยนข้อกล่าวหามาที่พวกตน ว่าเป็นพวกสร้างวาทกรรม ทำการเมืองไม่สร้างสรรค์ แต่ครั้งนี้เป็นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ หากมีการกล่าวหาก็ต้องมีการชี้แจง แต่กลับโยนข้อกล่าวหามาให้พวกตนมันถูกต้องหรือไม่ พร้อมตอบข้อชี้แจง นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่บอกว่าพรรคฝ่ายค้านไม่มีเรื่องใหม่ๆ จึงตั้งคำถามว่าหากเป็นเรื่องเก่าเหตุใดทางรัฐบาลไม่มีการแก้ ซึ่งเราทราบดีว่าเรื่องบางเรื่องอาจไม่ได้เกิดขึ้นในรัฐบาลชุดนี้ แต่เหตุใดไม่ออกมายืนยันว่าจะทำการแก้ไข เช่นเรื่องเหมืองทองอัครา ที่ไม่ได้กล่าวหาใดๆ เพราะว่าเป็นข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ ที่มี Digital Footprint ในสภาฯ มากมาย และเหตุใดเพื่อนพรรคเพื่อไทยจึงเปลี่ยนไป

ส่วนที่นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าเรื่องดีลเป็นเรื่องปกติทางการเมืองแต่พวกตนสงสัยว่าจริงๆ แล้ว เหตุที่ต้องโกหกประชาชนมันคืออะไร พวกเราจะได้เข้าใจโลกของความเป็นจริงมากขึ้น แต่กลับไม่เคยนำเรื่องความเป็นจริงมาพูดกัน หรือท่านพูดไม่ได้ เพราะดีลนั้นไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่ของประเทศนี้และตกอยู่กับคนไม่กี่กลุ่ม “มันจะเกิดประโยชน์ต่อประชาชนถือเป็นเรื่องที่หล่อจะตายทำไมไม่กล้าพูด”

ส่วนเรื่องภาษีขอถามนายกฯ ว่า จะเสียภาษีเมื่อไหร่ เพราะตั๋ว PN มีการเลื่อนไปเรื่อยๆ หากทุกคนในประเทศนี้มีธุรกิจมีหุ้นแล้วกำลังจะโอนหุ้นในครอบครัวและใช้วิธีเดียวกันกับนายกฯ ทุกๆ คนทั้งประเทศคงต้องตั้งคำถามตามสามัญสำนึก วิญญูชนทั่วไปว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้องไหมและประเทศไทยจะเก็บภาษีได้ 0 บาทแล้วจะมีภาษีมรดกไว้ทำไม ตนเองจึงขอเรียกว่าธุรกรรมขอเลี่ยงภาษีแล้วกัน

ขณะที่เรื่องปลาหมอคางดำเป็นการตั้งคำถามว่าจะนำบริษัทที่เกี่ยวข้องมารับผิดชอบอย่างไร ที่เรากล่าวหาว่ามีความใกล้ชิดกับท่านกลับไม่รับผิดชอบแต่กลับเอาเงินภาษีของประชาชนมารับผิดชอบการกระทำของกลุ่มทุนเหล่านั้นจึงขอถามว่าจะดำเนินคดีเมื่อไหร่ ส่วนเรื่องฝุ่น PM 2.5 เมื่อไหร่เราจะอยู่ในโลกเดียวกันและมีตัวชี้วัดในการแก้ปัญหานี้ ขณะที่เรื่องปัญหาค่าไฟที่มีการตั้งคำถามถึงตัวนายกรัฐมนตรีว่าจะเอาอย่างไรกับค่าไฟแพง ที่มีโรงไฟฟ้าสำรองมากเกินจริง ที่มันมีหลายสมัย เหตุใดจึงไม่แก้ให้ถูกต้อง ในขณะที่คุณพ่อของนายกฯ กลับไปตีกอล์ฟกับกลุ่มทุนพลังงาน จึงขอตั้งคำถามว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่ เพราะพออยู่ในอำนาจแล้วจึงไม่แก้

โดย น.ส.จิราพร สินธุไพร สส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวประท้วง ว่านี่เป็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ตามญัตติ ม.151 ไม่ใช่ 152 ที่จะมาตั้งคำถามเพิ่มเติม เพราะอยู่ในช่วงสรุป และนายกฯ ไม่สามารถมาตอบได้อีกแล้ว โดยนายวันมูหะหมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ วินิจฉัยว่า หากเป็นประเด็นสำคัญ ก็เป็นสิทธิ์ของนายกฯ ที่จะตอบ แต่นายจุลพันธุ์ อมรวิวัฒิ สส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคลัง ย้ำว่าไม่มีสิทธิ์ที่จะตอบแล้ว เพราะเท่ากับจะฉีกข้อบังคับ

โดย สส.พรรคประชาชน ได้ประท้วงขอให้ยึดตามคำวินิจฉัยของประธาน ที่ให้อภิปรายต่อได้ ด้าน นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ขอให้ประธานควบคุมการประชุม บางคนอยู่หลายสมัยแล้ว ย่อมทราบข้อบังคับ หากประธานวินิจฉัยแล้วต้องจบ

นายวันนอร์ จึงชี้แจงว่า หากมีประเด็นใหม่มา ไม่ควรเอาคำถามเก่ามา และขอให้ผู้นำฝ่ายค้านสรุปก่อนเวลาเที่ยงคืน

นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะประธานวิปฝ่ายค้าน ยืนยัน ว่าเรื่องที่ผู้นำฝ่ายค้านสรุป มันอยู่ในญัตติ

จากนั้นนายณัฐพงษ์ อภิปรายต่อว่า นายกฯ สามารถใช้สิทธิ์พาดพิงได้เสมอ เพราะสิ่งที่ประชาชนอยากได้ยินคือต้องการให้นายกฯ ตอบผู้นำฝ่ายค้าน ซึ่งขณะนี้นายกฯ ไม่ได้อยู่ในห้องประชุมแล้ว

นายณัฐพงษ์ จึงกล่าวต่อถึงเรื่องชั้น 14 รพ.ตำรวจ ที่ทางพรรคฝ่ายค้านต้องการอยากได้คำตอบว่านายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ถึงได้อภิสิทธิ์อยู่บนชั้นดังกล่าวว่าป่วยเป็นโรคอะไรกันแน่ ซึ่งตนเองก็ยังรอนายกฯ ใช้สิทธิ์พาดพิงแต่ก็ไม่มา

ทำให้นายจุลพันธุ์ ลุกขึ้นประท้วงอีกครั้ง ย้ำว่านายกฯ ไม่สามารถชี้แจงได้แล้ว แต่นายวันมูฮะหมัดนอร์ ยังยืนยันว่ามีในข้อบังคับหากมีประเด็นใหม่ ก็สามารถชี้แจงได้

แต่นายรังสิมันต์ โรม ลุกขึ้นประท้วง ว่าพวกตนอดทนมา 2 วันแล้ว ประธานต้องเข้มแข็งควบคุมการประชุม

ต่อมานายณัฐพงษ์ ได้กล่าวอภิปรายสรุปอีกครั้ง ว่าขอยืนยันข้อกล่าวหานายกรัฐมนตรีให้เสียหายว่าใช้อำนาจเอื้อประโยชน์กลุ่มทุน เป็นคนไม่มีความรู้ความสามารถ ไม่มีความตั้งใจในการแก้ปัญหา ละเว้นหน้าที่ทำตัวหนีความจริงด้วยเหตุและผลทั้งหมดนี้จึงไม่สามารถไว้วางใจได้

จากนั้น ประธานในที่ประชุมได้ขอนัดประชุมเพื่อลงมติ ในเวลา 10.00 น. ของวันที่ 26 มี.ค. 2568 และสั่งปิดประชุมในเวลา 22.25 น.

บทความที่เกี่ยวข้อง