“เทวฤทธิ์ มณีฉาย” เล่าหมดเปลือกเรื่องฮั้ว สว. ยอมรับรัฐธรรมนูญออกแบบมาให้เป็นแบบนี้ เปิดปากบอกสิ่งที่เป็นแผลในใจ คือห้วงสุดท้ายของชีวิตพ่อ กลับไม่ได้ทำหน้าที่ในฐานะลูกชายคนเดียว ที่ใครก็ทำแทนไม่ได้
ไทยรัฐออนไลน์พาไปพูดคุยกับ นายเทวฤทธิ์ มณีฉาย สมาชิกวุฒิสภา (สว.) กลุ่ม 18 สื่อสารมวลชน ถึงเบื้องหลังฮั้วเลือก สว. ยอมรับว่าในรอบสุดท้ายของการเลือกมีเอ๊ะบ้าง หากประเมินจากใบ สว.3 ที่ให้แนะนำตัว บางคนเขียนอธิบายน้อยแต่ได้เข้ามา ก่อนที่จะให้ผู้สมัคร สว. เลือก แต่หากมองอีกด้านหนึ่ง ก็เข้าใจว่าเขาคงมีการคุยมาก่อนหน้านี้แล้ว ผมเล่าย้อนไปในระดับอำเภอและจังหวัดว่าบางคนมาสมัคร สว. แบบเป็นกลุ่ม เวลาเลือกแล้วจำนวนเกินต้องจับฉลาก ตนเองเห็นมากับตาว่าคนจับฉลากตกกับยิ้มดีใจ และบางคนมีการถอนตัวไม่ขอจับฉลาก ซึ่งทุกคนที่มาสมัครต้องมีความมุ่งหมายที่จะเป็นหากไม่ได้จับอาจจะเสียใจ แปลว่าเขามีคนที่มีเป้าหมายที่จะส่งไปในระดับจังหวัด พูดแบบภาษาชาวบ้านนั่นก็คือ “ฮั้ว”
“รัฐธรรมนูญถูกออกแบบมาให้มีการพูดคุยกัน หรือฮั้วกันอยู่แล้ว”
พอระดับประเทศก็จะเห็นได้ว่าเป็น Pattern และเป็นแพ็คใหญ่ วันนั้นตนเองได้เดินวนรอบเพื่อแจกเอกสารแนะนำตัว และเห็นว่ามีกลุ่มคนนั่งรถตู้กันมาเป็นชุดๆ แต่ก็ไม่ได้พิสูจน์ว่าเป็นเรื่องที่ผิด เพราะอาจเป็นการลงขันกันมากันเป็นกลุ่ม แล้วนั่งรถตู้กันมา หรืออาจจะมีการแนะนำตัวในช่วง 10 วันก่อนการลงคะแนน หากมีความคิดในแนวทางเดียวกันก็อาจจะโหวตให้กัน จึงไม่ได้บอกว่าผิดหรือไม่
ฮั้วไม่ผิด ตราบเท่าที่คุณไม่ทำผิดกฎหมายมาตรา 77 ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว. ว่าใช้อามิสสินจ้างตอบแทนเป็นมูลค่าการเงินด้วยหรือไม่ มีการจัดมหรสพ มีการจัดเลี้ยงหรือไม่ หรือมีการให้ข้อมูลอันเป็นเท็จและข่มขู่ให้คนมาเลือก ที่จะเป็นความผิด แต่หากมีอุดมการณ์เดียวกัน และมีการตกลงกันก็ถือว่าไม่ผิด
...
ต้องบอกไว้ว่าในทางสาธารณะเอง ผมก็ไปคุยกับคนที่เห็นด้วยกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เห็นด้วยกับคนที่มีแนวคิดนิรโทษกรรมประชาชน ก็มีกระบวนการที่พูดคุยและเจอกัน เพื่อจะได้เห็นว่าคนนี้มีเป้าหมายเดียวกัน เพราะเป้าหมายที่ผมมาลง สว. ก็เพื่อแก้รัฐธรรมนูญ
“หากจะเรียกนิยามของการฮั้ว เราก็ไม่ปฏิเสธ ถ้าเรียกว่าฮั้วเราก็ฮั้ว แต่ว่าเราไม่มีเรื่องอามิสสินจ้างหรือการให้ข้อมูลอันเป็นเท็จ”
พร้อมเล่าเรื่องที่ทำให้ที่บ้านตกใจมากที่สุด ตอนทหารบุกถึงที่เรียกไปปรับทัศนคติ เพราะเป็นนักกิจกรรมแบบสุดขั้ว และสิ่งที่ค้างคาในใจวันที่โหวตรอบอำเภอคือวันที่เผาศพพ่อ
“มันก็เป็นแผลในใจ ในห้วงสุดท้ายของพ่อ เราอยู่ในภาวะแบบหาเสียง ในช่วงแนะนำตัวกับ สว. หรือแม้กระทั่งไปฟ้องศาลปกครอง สุดท้ายเขาก็จากไป โดยที่เรายังรู้สึกผิดกับภาระหน้าที่ ที่ไม่มีใครทำแทนได้ แล้วเราเป็นลูกคนเดียว”
ชมคลิปสัมภาษณ์เต็ม ถึงเรื่องราว สว.สีน้ำเงิน การล็อบบี้ในสนามการเมือง เส้นทางชีวิต จากนักกิจกรรม นักข่าว จนก้าวเข้ามาสู่เส้นทาง สว. ที่ถูกมองอยู่ฝั่งสีส้ม และปมในใจที่ยังค้างคาจนทำให้รู้สึกผิดที่ไม่ได้ทำหน้าที่ลูกให้พ่อในวาระสุดท้าย ได้ที่นี่ https://www.youtube.com/watch?v=nJcnTmBnS5U