“ชูศักดิ์ ศิรินิล” ตอกกลับ ฝ่ายค้านอย่ามโน “ดีลปีศาจ” ย้ำ รัฐบาลจริงใจปฏิรูปการเมือง –แก้รัฐธรรมนูญ รอศาลชี้ขาดให้ทำประชามติกี่ครั้ง พร้อมรอ 180 วัน แก้กฎหมายประชามติ

วันที่ 25 มี.ค. 2568 ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 26 (สมัยสามัญประจำปี ครั้งที่สอง) เป็นพิเศษ ที่มีนายภราดร ปริศนานันทกุล รองประธานสภา คนที่สอง ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม เพื่อพิจารณา เรื่องด่วน ญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล วันที่ 2 โดยนายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้ขึ้นชี้แจงข้ออภิปรายที่ว่ารัฐบาลไม่จริงใจในการปฏิรูปการเมือง และการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยก่อนจะเข้าเรื่องการชี้แจง ว่าตนได้รับมอบหมายให้มาชี้แจงกรณีข้อกล่าวหาว่ารัฐบาลไม่มีความจริงใจในการปฏิรูปการเมือง ไม่จริงใจแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งสองเรื่องนี้มีความสำคัญ และรัฐบาลให้ความสนใจและให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก

นายชูศักดิ์ กล่าวต่อว่า รวมถึงกรณีที่มีการอภิปรายเกี่ยวกับเรื่องของดีลกับปีศาจ ดีลข้ามขั้ว ทั้งนี้ตนอยู่ในเหตุการณ์เสมอมา โดยหลังการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว เมื่อพรรคก้าวไกลได้เป็นพรรคอันดับ 1 ชนะการเลือกตั้ง ซึ่งเราก็แสดงความยินดี และให้ความสำคัญกับพรรคอันดับ 1 จัดตั้งรัฐบาล ซึ่งในฐานะพรรคอันดับ 2 ก็ไม่แข่งขัน แม้ไม่มีกฎข้อห้ามว่าพรรคอันดับ 2 สามารถจัดตั้งไม่ได้ก็ตาม จนท้ายที่สุดเหตุการณ์ผ่านมา การจัดตั้งรัฐบาลมีปัญหา และแกนนำของท่านบอกว่าให้พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ถึงเกิดเป็นรัฐบาลนี้ขึ้น และทุกคนก็ทราบดีว่ามีความเป็นมาอย่างไร ที่ตนกล่าวเช่นนี้เพื่อชี้ให้เห็นว่าดีลข้ามขั้ว หรือดีลกับปีศาจนั้นเป็นเรื่องที่อาจจะมโนกันไปเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เป็นความจริง

...

นายชูศักดิ์ กล่าวต่อว่า การปฏิรูปการเมืองการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงนโยบายต่อรัฐสภา เมื่อวันที่ 12 ก.ย. 2567 ซึ่งมีนโยบายเด่นอันหนึ่งที่ไม่เคยเห็นในรัฐบาลไหนแถลงแบบนี้มาก่อน โดยมีการวิเคราะห์ปัญหาของสังคมไทยในปัจจุบันว่ามีความท้าทาย 8 ประการ ซึ่งในประการที่ 7 ตามนโยบายของรัฐบาลนั้น ระบุว่า ปัจจุบันประเทศไทยเผชิญกับความไร้เสถียรภาพทางการเมืองมายาวนาน เป็นผลจากการรัฐประหาร ความขัดแย้งทางการเมืองที่รุนแรง รวมถึงการถอดถอนรัฐบาลออกจากอำนาจในแบบที่คาดเดาไม่ได้ ส่งผลให้ความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจและการลงทุนในประเทศไทยอย่างรุนแรงโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ จึงจำเป็นต้องร่วมมือกันปฏิรูปการเมือง ซึ่งจะเกิดขึ้นไม่ได้หากไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ซึ่งกำหนดหมวดว่าด้วยการปฏิรูปไว้ท้ายรัฐธรรมนูญว่า ให้ตรากฎหมายว่าด้วยแผนและการปฏิรูปประเทศ และให้เริ่มทำภายใน 1 ปี แต่การปฏิรูปการเมืองก็ไม่เกิดขึ้นเพราะผู้ร่างรัฐธรรมนูญก็เป็นผู้ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมืองด้วย ที่ออกมาก็เป็นคนละเรื่องกับการที่เราจะปฏิรูปการเมืองมีแต่กำจัด มีแต่การควบคุม การยุบพรรคการเมือง การใช้อำนาจกำกับดูแลพรรคการเมืองให้อยู่กับร่องกับรอย

นายชูศักดิ์ กล่าวอีกว่า สำหรับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นั้น ปัญหาใหญ่ ปัญหาสำคัญคือการมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญฉบับที่ 4/2564 มีสาระสำคัญที่เป็นปัญหาคือจะทำประชามติกี่ครั้งกันแน่ เพราะรัฐธรรมนูญ ปี 2560 เกิดขึ้นจากการทำประชามติ ถ้าทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ก็ต้องถามประชาชนก่อนว่าจะประสงค์มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ ทำให้เกิดการตีความเป็นสองนัยยะ 1. ฝ่ายหนึ่งเห็นว่าต้องทำ 3 ครั้ง 2. ฝ่ายหนึ่งเห็นว่าทำ 2 ครั้ง ท้ายสุดเกิดการยื่นญัตติขอแก้ไขมาตรา 256 เพิ่มหมวด 15/1 ว่าด้วยการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แต่ขณะนั้นประธานสภาสั่งไม่บรรจุ แปลว่า สภาเห็นว่าต้องทำประชามติ 3 ครั้ง รัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน ตัดสินใจทำเรื่องรัฐธรรมนูญต่อโดยตั้งกรรมการ 1 ชุด มีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน และกรรมการทุกคนตัดสินใจว่า 1.ทำประชามติ 3 ครั้ง 2. แก้กฎหมายประชามติ ขณะที่รัฐสภากลับไม่บรรจุวาระ และนำเรื่องนี้เข้าสู่ครม. เป็นมติครม. เห็นชอบให้ทำประชามติ 3 ครั้ง ให้แก้กฎหมายประชามติ ท้ายสุด กฎหมายก็ประสบปัญหา ขณะนี้ก็รอเวลา 180 วัน และให้แต่ละพรรคการเมืองเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของตัวเองกลับมาเพื่อพิจารณาร่วมกันก่อนจะเกิดเหตุการณ์อย่างที่ว่า

“โดยรวมเรามีมติรัฐสภาไปแล้วว่า ให้สอบถามศาลรัฐธรรมนูญ หากวินิจฉัยออกมาชี้ขาดว่าทำประชามติกี่ครั้งเราก็เดินตามนั้น หากเป็นไปได้ให้ทำ 2 ครั้ง ญัตติที่เราเสนอค้างอยู่ในรัฐสภาก็จะเดินหน้า ก็จะประกบกับ 180 วันของกฎหมายประชามติพอดี ดังนั้นเรามีความจริงใจว่าอยากจะทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้สำเร็จให้ได้” นายชูศักดิ์ กล่าว

บทความที่เกี่ยวข้อง