“ไอซ์ รักชนก” อภิปรายไม่ไว้วางใจ 2568 ฟาดปมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ อาชญากรรมออนไลน์ เอื้อผลประโยชน์หรือไม่ “รัฐบาลแพทองธาร” ถึงจัดการไม่ได้ ซักฟอกโยงพ่อนายกฯ ดีลแลกประเทศ ดัก “ประเสริฐ” ไม่ต้องตอบ อยากฟังจากปาก “อิ๊งค์”
เมื่อเวลา 12.43 น. วันที่ 25 มีนาคม 2568 การอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร วันที่ 2 ถึงคิวของ น.ส.รักชนก ศรีนอก สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) กทม. พรรคประชาชน อภิปรายว่า ขอให้นายกรัฐมนตรีมานั่งฟังฝ่ายค้านอภิปรายบ้าง ก่อนกล่าวต่อไปถึงเรื่องอาชญากรรมออนไลน์ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ และสแกมเมอร์ ว่า นายกรัฐมนตรีขาดภาวะผู้นำจนทำให้เกิดความเสียหายมหาศาล ลอยตัวเหนือปัญหา ไม่ยอมตัดสินใจ จนต้องให้รัฐบาลต่างชาติเข้ามากดดันถึงจะลงมือ ปัญหาอาชญากรรมไซเบอร์บ่อนทำลายประเทศไทย ต้องอาศัยมาตรการต่างๆ จัดการกลุ่มทุนที่ไร้จิตสำนึก เอื้อพวกตนเอง จงใจปล่อยทุจริต ไม่รู้ปัญหาแก๊งคอลจะไปจบตรงไหน ท่านและครอบครัวทำดีลกับปีศาจ สะท้อนความไม่ซื่อสัตย์สุจริต หากปล่อยให้บริหารประเทศจะเสียหาย ไม่สามารถให้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปแม้แต่อีกวันเดียว
ทั้งนี้ ความเสียหายจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์มีเม็ดเงินอีกมหาศาล อาจจะสูงถึงปีละ 100,000 ล้านบาท พร้อมยกข้อมูลอ้างอิงการหลอกลวงคนไทย ทำให้คนไทยจนลงจริงเพราะเงินถูกดูดออกไป ประเทศไทยอยากเป็นฮับหลายๆ อย่างแต่เป็นไม่ได้ ยืนยันว่าเป็นปัญหาเร่งด่วนร้ายแรง มีการสูญเสียถึงชีวิต แม้แต่นายกรัฐมนตรียังเจอปัญหานี้กับตัว อย่างที่เคยให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2568 สะท้อนว่ามิจฉาชีพยังเข้าถึงระดับผู้นำประเทศ ท่านต้องสืบเรื่องนี้และต้องเอาผิดคนที่ทำข้อมูลของท่านรั่ว มิจฉาชีพยังเข้าถึงนายกรัฐมนตรี แล้วตาสีตาสาจะรอดหรือ
...
“นี่มันคือสิ่งยืนยัน ในสิ่งที่เวลาคนมองนายกฯ แล้วเขาคิดคือ ท่านนายกฯ ไม่เคยเข้าใจหัวอกของคนตัวเล็กตัวน้อย ท่านไม่เคยเข้าใจหัวอกของคนที่ถูกหลอกหรือลำบากเลย แม้กระทั่งว่าท่านเจอเรื่องนี้กับตัวเองด้วยซ้ำ ท่านยังไร้จิตสำนึกที่จะมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาเลย ประชาชนเขาอยากได้นายกฯ ที่มาแก้ไขปัญหาให้เขาค่ะ เขาไม่ได้อยากได้นายกฯ ที่มาบอกว่าฉันก็เจอปัญหาเหมือนกับเธอ แต่ฉันรอด ถ้าท่านเป็นนายกฯ แล้วท่านทำได้แค่นี้ เราไม่ต้องมีนายกรัฐมนตรีที่ชื่อแพทองธารก็ได้”
แม้จะผิดหวังในตัวนายกรัฐมนตรี แต่ต้องอาศัยอำนาจสั่งการ ตัดสินใจมาตรการต่างๆ เกี่ยวกับความมั่นคง เศรษฐกิจ ต่างประเทศ คนที่ต้องตัดสินใจคือนายกรัฐมนตรีที่ถืออำนาจบริหารราชการแผ่นดินสูงสุด แต่ทำไม่ได้เพราะมีนายกรัฐมนตรีชื่อแพทองธาร ไม่มีความสามารถตัดสินใจเด็ดขาด จัดการรัฐมนตรีในคณะรัฐมนตรี (ครม.) ตัวเอง ไม่กล้าจัดการไทยเทา เพราะเป็นคนใกล้ชิดสนิทสนมหรือไม่ พร้อมกล่าวหาว่านายกรัฐมนตรีปล่อยปละละเลย
สำหรับ “การตัดไฟ” คือก้าวแรกในการทลายรังของมิจฉาชีพ ฝ่ายค้านพยายามแนะรัฐบาลมาโดยตลอด แต่ที่ผ่านมารัฐมนตรีต่างโยนกันไปมา จนกระทั่งพ่อของนายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์ว่าเราสามารถตัดไฟได้ เหมือนที่ นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน เคยบอกไว้แต่แรก แต่เรื่องมาจบตอนผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงสาธารณะแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนมาไทย และสุดท้ายคนที่ตัดไฟคือคนที่บอกว่าไม่ตัดแต่แรก คนไม่รู้จักหน้าที่ตัวเองต้องรับผิดชอบบ้างหรือไม่ การทำงานที่ช้าแม้แต่วันเดียว ทำให้มีคนที่ต้องสูญเงินหมดตัว สูญเสียชีวิตไปจริงๆ แต่นายกรัฐมนตรีไม่ออกมาตอบเลย ทางรัฐบาลจีนพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อแก้ปัญหาคนในประเทศเขา น่าเศร้าที่ต้องให้รัฐบาลจีนมากดดันรัฐบาลไทย และถ้านายกรัฐมนตรีไม่ต้องไปพบประธานาธิบดีจีน ก็เชื่อว่าจะไม่เกิดการตัดไฟขึ้น
“การที่นายกรัฐมนตรีไทยไปพบกับประธานาธิบดี สี จิ้นผิง คนไทยมีความคาดหวังในหัวใจว่า เราจะได้มีมาตรการ จะได้มีความร่วมมือในการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ รอฟังกันทั้งประเทศว่ากลับมาเนี่ยจะมีมาตรการอะไรใหญ่ๆ ที่มาประกาศแบบเบิ้มๆ ก็ต้องขอบคุณนะคะท่านนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ที่ได้กลับมาบอกเรื่องสำคัญกับพวกเราค่ะว่า ท่านสี จิ้นผิง ชอบกินทุเรียน และเรากำลังจะได้แพนด้าเพิ่มอีก 2 ตัว โหโล่งใจเลยค่ะ ประชาชนนี่รู้สึกว่าปลอดภัยกันทั้งประเทศ รู้สึกว่าได้รับข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์มากๆ”
ที่สำคัญอีกสิ่งคือสัญญาณอินเทอร์เน็ตไทยมีคุณภาพสูง แต่เปรียบเสมือนท่อน้ำเลี้ยงให้แก๊งเหล่านี้ในประเทศเพื่อนบ้าน รัฐบาลจะไม่รู้หรือ บริษัทให้บริการเหล่านี้รู้ว่าสัญญาณไปที่ใด เป็นหน้าที่รัฐบาลต้องออกนโยบายให้สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) บังคับให้ค่ายเหล่านี้ออกมาตรการให้รัดกุม แต่กลับเป็นตัวถ่วง ไม่มีการจัดการคนลากสายไปอย่างผิดกฎหมาย อยากเห็นการจัดการเสาอินเทอร์เน็ตเข้มข้นเหมือนการตัดไฟ
น.ส.รักชนก กล่าวต่อไปถึงเรื่องท่าข้าม ว่า มีความสำคัญ จะส่งอะไรต้องขออนุญาตและต้องกำหนดเวลา เมื่อเสร็จภารกิจต้องปิด แต่ที่ อ.แม่สอด จ.ตาก บางท่าเหมือนเป็นท่าถาวรไปแล้ว มิจฉาชีพอาศัยทรัพยากรจากประเทศไทย น้ำมัน อิฐ หิน ดิน ปูน ถูกส่งไปจากไทย แต่ไม่ใช่ทุกท่าที่มีปัญหา ส่งของให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) มีข้อมูลในมือว่า 10 ท่ามีการส่งของให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ แต่เมื่อถามว่าใครรับผิดชอบในการปิดท่าข้ามกลับไม่ได้คำตอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในที่ประชุมคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ทั้ง สมช. ศุลกากร ผู้ว่าราชการจังหวัด แล้วใครต้องตัดสินใจ คุยกันมาเป็นปีไม่มีสักท่าที่ถูกปิด แต่เมื่อจะถึงวันซักฟอกพบว่า 2 วันก่อนมีการปิดไปแล้ว 1 ท่า หรือเราควรจะอภิปรายบ่อยขึ้น นายกรัฐมนตรีจะได้ทำงาน พร้อมกล่าวต่อไปว่าท่าเหล่านี้หลายท่าเกิดจากการรับส่วย
อีกเรื่องคือช่องทางธรรมชาติ ช่องทางหมาลอด การก่อสร้างท่าเทียบเรือมีตลอดแนวชายแดนริมแม่น้ำเมย ทุนจีนสีเทาใช้ส่งแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เป็นช่องทางค้ามนุษย์ เป็นช่องทางข้ามไปกาสิโน จึงขอตั้งคำถามว่าเจ้าหน้าที่รัฐ หน่วยงานต่างๆ จะไม่รู้ไม่เห็นในท่าเหล่านี้เลยหรือ หรือมีการปิดหูปิดตา อำนวยความสะดวกกลุ่มเหล่านี้หรือไม่ และวีซ่าฟรีควรจะต้องจำกัดได้หรือยัง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงเช่นนี้ พรรคประชาชนพูดถึงเรื่องนี้มาเกือบ 1 ปีแล้ว และต้นน้ำที่สำคัญอีกอย่างคือเรื่องการค้ามนุษย์ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ต้องการแรงงานทาสจำนวนมหาศาล แต่เมื่อเป็นข่าวใหญ่โตเรื่องดาราจีน รัฐบาลกลับดำเนินการอย่างรวดเร็วมาก ช่วยเพียง 1 คนจากเหยื่อนับหมื่นนับแสน แทนที่จะใช้โอกาสให้การกวาดล้าง กลับช่วยเพียงดาราจีน ต่างจากข่าวคนไทยที่ถูกหลอกไปเป็นเหยื่อตกตึกเสียชีวิต หลายคนถูกทรมาน ข่มขืน บังคับขายบริการทางเพศ ขายอวัยวะ และเรื่องยังเกิดขึ้นอยู่ทุกวัน
“ดิฉันขอถามนะว่ารัฐบาลไทยที่มีความใกล้ชิดอย่างยิ่งกับรัฐบาลกัมพูชา ถึงขนาดที่ว่าพ่อท่านนายกฯ ออกมาจากชั้น 14 (รพ.ตำรวจ) วันแรกเนี่ยได้ไปเยี่ยมกันก่อนใครเลย และพ่อท่านนายกฯ เองก็ออกมาให้ข่าวว่าสนิทกันทั้งรุ่นพ่อรุ่นลูก อย่าได้หวั่นไหวตามสถานการณ์ชายแดน ดิฉันถามนะคนไทยเคยได้ประโยชน์อะไรจากการที่ท่านมีความสัมพันธ์อันดีแบบนี้ไหม แทนที่ความคืบหน้าทางฝั่งกัมพูชามันจะได้ความคืบหน้ามากกว่า แต่กลับกลายเป็นว่าท่านนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ท่านเกรงใจเพื่อนพ่อหรือเปล่า ท่านเลยไม่จัดการอะไรเลยในฝั่งกัมพูชา ดิฉันขอถามดังๆ ว่าความสัมพันธ์อันดีแบบนี้มันส่งผลดีอะไรกับประเทศไทยบ้าง”
ก่อนกล่าวต่อไปว่า ความคืบหน้าในการดำเนินการช้ามาก รัฐมนตรีเกี่ยงงานกันตั้งแต่การตัดไฟ กว่านายกรัฐมนตรีจะออกมาสั่ง แสดงความเป็นผู้นำ ก็นานเหลือเกิน ในเรื่องค้ามนุษย์ช่วยคนไทยออกมาได้ช้ากว่าชาติอื่น เรามีนายกรัฐมนตรีที่ไม่รู้หน้าที่ของตัวเอง ไม่มีคุณสมบัติในการบริหารประเทศ
ขณะที่เรื่องซิมม้า ทำไมต้องรอกระบวนการราชการ ค่ายมือถือก็รู้และควรทำได้ง่ายกว่าการปิดบัญชีด้วยซ้ำ ต่อให้มีการจับซิมเถื่อนแต่ไม่ลดลง เขาก็ผลิตออกมาใหม่ ขายใหม่ เป็นหน้าที่รัฐบาลต้องบังคับใช้กฎหมายให้ค่ายมือถือต้องร่วมรับผิดชอบด้วย พระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ พ.ร.ก.ไซเบอร์ ทุกวันนี้อยู่ที่ไหน ปล่อยค่ายมือถือฉวยโอกาสออกแพ็กเกจประกันภัยไซเบอร์ โดยที่รัฐบาลนั่งดูเฉยๆ ไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน สะท้อนว่าเบอร์ที่จ่ายเงินจะดูแล ปกป้องจากมิจฉาชีพ หมายความว่าทำได้แต่แรกใช่หรือไม่ เป็นผลงานจากที่นายกรัฐมนตรีไม่สามารถปกป้องคนไทย สงสารประชาชนประเทศนี้ที่เราต้องมีรัฐบาลแบบนี้ นายกรัฐมนตรีจงใจทำเป็นมองไม่เห็นปัญหา จงใจให้เกิดการขูดรีดประชาชนหรือไม่
ทางด้านบัญชีม้า ก็ต้องตรวจสอบต่อและขยายผลว่ามีตัวการใหญ่หรือไม่ ธนาคารไม่จริงจังกับการปกป้องเงินในบัญชีประชาชน ทั้งที่สามารถร่วมรับผิดชอบได้ ถามอีกครั้งว่า พ.ร.ก. จะออกเมื่อไหร่ อยากได้ยินจากปากนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ทั้งนี้ เมื่อหลอกโอนเงินแล้วจะมีการนำเงินไปเป็นคริปโตเคอร์เรนซี เพราะรัฐบาลไม่คิดจะจัดการอย่างจริงจังจึงเป็นอย่างทุกวันนี้ เกิดการฟอกเงิน รัฐบาลจัดการกับการซื้อขายเหรียญที่ผิดกฎหมายเหล่านี้อย่างไรบ้าง ยังไม่มีมาตรการอะไรที่เป็นรูปธรรม ถ้าจะจริงจังต้องแบนแพลตฟอร์มที่ไม่ได้รับการอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และอาจโยงถึงกลุ่มทุนพลังงานหนึ่งหรือไม่ อยากให้รัฐบาลมีมาตรการจัดการแพลตฟอร์มเหล่านี้ ตนและประชาชนทั้งประเทศสงสัย รัฐบาลจงใจหรือไม่ที่จะไม่จัดการเรื่องการฟอกเงิน เพราะมันคือสวรรค์ของแก๊งมิจฉาชีพและไทยเทา
สำหรับ พ.ร.ก.ไซเบอร์ รัฐบาลใส่ไว้ในการแถลงนโยบาย แต่ดีที่สุดคือค่ายมือถือและธนาคารจัดการต้นเหตุของปัญหาด้วยตนเอง ถ้าไม่ทำรัฐบาลต้องจัดการ ต้องเร่ง พ.ร.ก. แต่ผ่านมา 2 นายกรัฐมนตรีแล้ว ต้องรอให้มีนายกรัฐมนตรีคนที่ 3 หรือไม่ ถึงจะออกกฎหมายนี้ออกมาได้ เข้าที่ประชุม ครม. ไปเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2568 แล้วหายไป อ่านแล้วเนื้อหาดีจริง แต่ติดหลุมดำอะไรใน ครม. และยังได้รับข้อมูลอีกว่ามีการล็อบบี้อย่างหนัก หวังว่า พ.ร.ก.ฉบับนี้จะไม่หายไป เพราะรัฐบาลเพื่อไทยหัวใจคือประชาชน หวังว่านายกรัฐมนตรีจะสะกิด นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพราะผ่านมา 2 ปี พ.ร.ก. ยังไม่คลอด งานไม่คืบก็ต้องปรับออกแล้ว อยากให้นายกรัฐมนตรีเดินออกมาอย่างสง่างามและตอบว่า พ.ร.ก. ร่วมรับผิดชอบจะออกมาเมื่อไหร่
น.ส.รักชนก ถามต่อไปว่าการที่ข้อมูลประชาชนหลุดออกไปมีใครเคยรับผิดชอบหรือไม่ ไม่มีการควักเงินมาดูแลระบบ ปกป้องข้อมูลลูกค้า จึงเป็นหน้าที่รัฐบาลบังคับให้เอกชนต้องปกป้องข้อมูลประชาชน การที่เรามีนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ทำให้ทุกอย่างติดขัดไปหมด ไม่ว่าจะหันไปไหนผลประโยชน์กลุ่มทุนทั้งนั้น รัฐบาลเกรงใจทุกคน แต่ไม่เคยเกรงใจประชาชนที่ลงคะแนนเลือกท่านมา กลับวางประชาชนไว้ท้ายสุด ก่อนจะกล่าวแซวในช่วงหนึ่งว่าเหงามากไม่มีใครลุกประท้วงเลย
สส.กทม. พรรคประชาชน ระบุต่อไปว่า นายกรัฐมนตรียังปล่อยให้ประเทศตกอยู่ในอันตรายอย่างใหญ่หลวง ระบบอัตลักษณ์บุคคล (ไบโอเมตริกซ์) ของประเทศหมดอายุแล้ว ระบบนี้มีความสำคัญมาก เป็นเหมือนด่านแรกที่รับมือนักท่องเที่ยวที่เข้ามาโดยไม่รู้ว่าใครเป็นใคร มีทุนสีเทาจากทั่วโลก แก๊งอาชญากรที่แฝงตัวมาในคราบนักท่องเที่ยว ปัจจุบันเก็บได้เพียงลายนิ้วมือ จึงทำให้ประเทศไทยกลายเป็นสวรรค์ของกลุ่มคนเหล่านี้หรือไม่ เราไม่สามารถเก็บอัตลักษณ์บุคคลถึง 17 ล้านคนแล้วตั้งแต่หมดอายุ ทำให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ไม่หมดไปเสียที นายกรัฐมนตรียังปล่อยให้รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงออกมาหลอกคนทั้งประเทศว่าระบบยังใช้งานได้ หรือจะลองปรึกษาอดีตนายกรัฐมนตรีที่ไม่ใช่พ่อ ไม่ใช่อา หรือไม่ว่าระบบแพงไปหรือเปล่า หรืออาจจะตกลงผลประโยชน์ไม่ลงตัวหรือไม่
“แม้แต่ด่านแรกของประเทศไทยตอนนี้ท่านยังปล่อยให้มันพังพินาศ และการจัดการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่หลอกลวงคนไทย ที่ผ่านมาเราจัดการใครได้บ้าง สิ่งที่เราจัดการได้มีแต่ตัวเล็กตัวน้อย มีแต่คนที่มาเปิดบัญชีม้าและแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ถูกหลอกไปเป็นเหยื่อที่อยู่ตามตึกต่างๆ ท่านเคยเห็นรัฐบาลจัดการพวกตัวใหญ่ได้บ้างหรือไหม ท่านจัดการได้แต่ปลาซิวปลาสร้อย ตัวเล็กตัวน้อยซึ่งถ้าท่านทำแบบนี้ ท่านเป็นนายกรัฐมนตรีไปอีก 100 ปี เราก็ถอนรากถอนโคนแก๊งคอลเซ็นเตอร์ไม่ได้ มันเลยเป็นคำถามว่าเพราะตัวใหญ่ๆ ในขบวนการนี้เกี่ยวกับคนในรัฐบาลหรือเปล่า ชายแดน จ.ตาก ที่มันเน่าหนอนชอนไชอยู่ทุกวันนี้ แก๊งคอลเซ็นเตอร์สามารถดำเนินการได้อย่างสะดวกเนี่ย มันไม่ได้เป็นด้วยตัวของมันเอง มันเป็นเพราะว่าเจ้าหน้าที่รัฐและนักการเมืองที่อำนวยความสะดวกให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์”
พร้อมตั้งคำถามว่าตำรวจยศใหญ่ๆ ที่ถูกย้ายแล้วอย่างไรต่อ ท่านต้องพิสูจน์ต่อ เส้นเงิน ครอบครัว เกี่ยวโยงอะไรบ้าง ไม่แปลกใจที่นายกรัฐมนตรีจะทำอะไรไม่ได้ แม้จะดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) โดยตรง เพราะการเติบโตของนายตำรวจดังกล่าวโยงนักการเมือง และใกล้ชิดกับพ่อนายกรัฐมนตรีหรือไม่ จึงไม่สามารถจัดการไทยเทาสิ้นซากเสียที รวมถึงการออกหมายจับ หม่อง ชิตตู่ ก็เกี่ยงกันระหว่างกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และอัยการสูงสุด ไม่มีทีท่าว่าจะสำเร็จ ทั้งที่ทั่วโลกคว่ำบาตรไปหมดแล้ว แต่ไทยกลับไม่รู้ร้อนรู้หนาว นายกรัฐมนตรีสามารถสั่งการรัฐมนตรีได้ ทำไมไม่กำชับความคืบหน้า ถ้าทำไม่สำเร็จก็ไม่มีหน้าไปว่าใครว่าไม่มีภาวะผู้นำ
นอกจากนี้ น.ส.รักชนก กล่าวถึงผู้หนึ่งที่กว้างขวาง มีการเปิดบ่อนในไทย เปิดๆ ปิดๆ อยากให้นายกรัฐมนตรีปราบตัวใหญ่ๆ แบบนี้ พ่อนายกรัฐมนตรีอาจจะให้ข้อมูลได้ดีที่สุด ลองไปถามว่ารู้จักกับคนชื่อนี้หรือไม่ และจะหาได้ที่ไหน และการอภิปรายทั้งหมดไม่ใช่นายกรัฐมนตรีไม่มีสติปัญญาในการแก้ปัญหา แต่เพราะจงใจที่จะปล่อยปละละเลย ประเทศไทยดันปล่อยให้ข้อมูลรั่วไหลเป็นเรื่องปกติ ไม่มีใครที่ต้องถูกลงโทษ ทุกขั้นตอนเอื้อกันหมดอาชญากรออนไลน์จึงเติบโตได้ขนาดนี้ ปัญหาคือความจงใจที่จะปล่อยปละละเลย รัฐบาลหน้าไหว้หลังหลอก สิ่งที่แสดงออกคือการไม่แก้ที่ต้นตอ ผักชีโรยหน้าไปวันๆ ปัญหาแค่รอเวลากลับมาปะทุใหม่ นายกรัฐมนตรีไม่กล้าแตะต้องผลประโยชน์กลุ่มทุน
“มันติดขัดไปทุกส่วนทุกขั้นตอนแบบนี้ ไม่ใช่เพราะแพทองธารไร้ความสามารถ แต่รากที่จริงของปัญหาคือการที่เราต้องมีนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร เพราะรัฐบาลชุดนี้ไปทำดีลแลกประเทศนี้กับชนชั้นนำ ครอบครัวชินวัตรเอาผลประโยชน์ของคนทั้งชาติ เอาอนาคตของทุกชีวิตในประเทศนี้ไปแลกกับผลประโยชน์ของตระกูลตัวเอง ท่านขโมยเอาโอกาส ขโมยเอาความฝันของทุกๆ คนในประเทศ ไปทำดีลแลกประเทศกับปีศาจ เพื่อให้พ่อท่านกลับมาในประเทศนี้อย่างไม่ต้องติดคุกเลยสักวัน ด้วยเหตุนี้ดิฉันจึงไม่สามารถไว้วางใจแพทองธาร ชินวัตร ในดำรงตำแหน่งต่อไปได้แม้แต่อีกวันเดียว และเพื่อปลดล็อกสิ่งเหล่านี้ ปลดล็อกอนาคตของประเทศนี้ ขอให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรร่วมลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีคนนี้ เพื่อที่เราจะได้เริ่มต้นคิดใหม่ ทำใหม่ เพื่อประชาชนกันจริงๆ สักที”
โดย น.ส.รักชนก จบการอภิปรายในเวลา 14.00 น. ทางด้าน นายณัฐวุฒิ ประเสริฐสุวรรณ สส.สุพรรณบุรี พรรคชาติไทย บอกว่าอภิปรายดีแต่เสียดสีมากไป ทางด้าน นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร วินิจฉัยว่าให้ระมัดระวัง เพราะเป็นเส้นบางๆ ระหว่างการกล่าวหาและการเสียดสี จากนั้นจึงเข้าสู่การอภิปรายของ น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน.