"สุริยะ" โต้ "สุรเชษฐ์" ปมแก้สัญญารถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ยืนยันไม่มี "ซุปเปอร์ดีล" แสนล้านบาท พร้อมยึดประโยชน์ของพี่น้องประชาชน
เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 25 มี.ค. 2568 นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคม ชี้แจงตอบโต้ นายสุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ที่กล่าวหากรณีแก้สัญญาโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ที่ให้เอกชนคว้าสัมปทานไปก่อนแล้วค่อยหาประโยชน์เพิ่มด้วยการแก้สัญญา รวมทั้งการขยายสัมปทานทางด่วน ว่า จากที่ฟังนายสุรเชษฐ์พยายามสร้างเรื่องบิดเบือนข้อเท็จจริงจากจินตนาการให้ประชาชนเข้าใจผิด ว่ามีการวางแผนการนี้ไว้ล่วงหน้าเพื่อที่จะเอื้อประโยชน์ต่อเอกชนคู่สัญญา
รวมทั้งมีการเล่นคำว่า ซุปเปอร์ดีล โดยบิดเบือนเอาข้อมูลที่มีมูลค่าที่สูงกว่ามูลค่าโครงการมาพูดเป็นแสนๆ ล้านบาท ล้วนแล้วมาจากการจินตนาการลอยๆ ทั้งนั้น การอภิปรายทั้ง 2 โครงการเป็นการกล่าวหาลอยๆ และไม่ทราบว่ากำลังอภิปรายรัฐบาลไหน เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเกิดก่อนที่รัฐบาลนี้เข้ามาบริหารด้วยซ้ำ ซึ่งทั้ง 2 โครงการก็ยังเป็นโครงการที่อยู่ขั้นตอนของการพิจารณาของคณะกรรมการชุดต่างๆ โดยยังไม่ได้มีการเสนอถึงคณะรัฐมนตรี (ครม.) เรื่องนี้จึงยังไม่ถึงมือนายกฯ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะให้นายกฯ ตอบเรื่องนี้
อย่างไรก็ตาม ขอย้ำอีกครั้งว่ารัฐบาลยังไม่ได้อนุมัติให้ดำเนินการแต่อย่างใด ตามขั้นตอนจะต้องพิจารณาร่วมกันกับหลายหน่วยงาน รวมทั้งสำนักงานอัยการสูงสุด ที่ต้องช่วยกันพิจารณาเพื่อให้รัฐไม่เสียประโยชน์อย่างแน่นอน
ส่วนที่กล่าวหาว่า มีการเอื้อประโยชน์ให้กับเอกชนคู่สัญญาหรือพยายามพูดให้เข้าใจว่ามีผู้ใหญ่ นายใหญ่ หรือนายน้อย สั่งการอยู่เบื้องหลังนั้นประเด็นนี้ ยืนยันว่าไม่เคยรู้จักเป็นการส่วนตัวกับคู่สัญญาของทั้งสองโครงการแต่อย่างใด แล้วจะไปเพื่อประโยชน์ให้กับเอกชนทั้งสองรายได้อย่างไร ในทางตรงกันข้ามพยายามแก้ปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนและภาครัฐอยู่ทั้งเรื่องการจราจรที่ติดขัด ค่าผ่านทางแพง และโครงการที่ลงทุนไว้แล้วแต่ดำเนินการต่อไปไม่ได้ให้สำเร็จลุล่วงโดยยึดประโยชน์ของพี่น้องประชาชนและภาครัฐเป็นสำคัญ เพราะฉะนั้นไม่มีแน่นอนซุปเปอร์ดีลแสนล้านบาท
...
นายสุริยะ กล่าวต่อว่า ไม่ใช่ส่วนหนึ่งในการสร้างปัญหา แต่เข้ามาเพื่อแก้ปัญหา เพราะทันทีที่ได้รับตำแหน่ง รมว.คมนาคม ได้พบว่าโครงการนี้มีปัญหาด้านสัญญาจึงเข้ามาแก้ปัญหาเพื่อให้โครงการนี้สามารถเดินต่อไปได้ เนื่องจากทางอีอีซีมีการลงทุนจากภาคเอกชนไปแล้วกว่า 1.8 ล้านล้านบาท หากถอยโครงการนี้ประเทศจะเสียหายมากและเป็นสัญญาที่เกิดขึ้นก่อนโควิด เมื่อมีสถานการณ์โควิดทำให้มีผลกระทบต่อการลงทุนด้วยและนอกจากสถานการณ์โควิด ซึ่งถือเป็นเหตุสุดวิสัยตามสัญญาแล้ว เอกชนไม่สามารถชำระค่าสิทธิแอร์พอร์ตลิงก์จำนวน 1.067 หมื่นล้านบาทได้ตามกำหนด เพื่อไม่ให้บริการหยุดชะงัก ครม. จึงมีมติไปเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2564 ให้ทาง รฟท. อีอีซี และเอกชนเข้าดำเนินการแก้ไขปัญหาโดยด่วน
ทาง รฟท. และเอกชนจึงได้ทำเอ็มโอยู โดยเอกชนต้องได้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการเดินรถ ค่าบำรุงรักษาและรับความเสี่ยงทั้งหมด ซึ่งปัจจุบันเอกชนขาดทุนสะสมไปแล้วกว่า 500 ล้านบาท และ 3 ประเด็นที่เป็นปัญหาคือเงื่อนไขที่ทำไว้ก่อนหน้านี้ระบุว่า เอกชนต้องได้รับบัตรส่งเสริมการลงทุนก่อนจึงจะเริ่มก่อสร้างได้ เมื่อเอกชนยังไม่ได้รับส่งเสริมจากบีโอไอ ทำให้ไม่สามารถเสนอแผนทางการเงินให้สมบูรณ์ตามแผนเดิม จึงเกิดสถานะเดดล็อกขึ้น แก้ปัญหาจึงมีอยู่เพียงสองทางคือการแก้ไขสัญญายกเลิกสัญญาประมูลใหม่
เมื่อเปรียบเทียบทั้งสองทางเลือกแล้ว การยกเลิกสัญญาและประมูลใหม่เป็นทางเลือกที่ไม่สามารถดำเนินการได้ตามกฎหมาย และทำให้รัฐเสียหาย เนื่องจากผลกระทบทางต้นทุน และโครงการล่าช้าไปอีกอย่างน้อย 3 ปี จากนี้การประมูลใหม่อาจนำไปสู่การฟ้องร้องหรือข้อพิพาททางกฎหมายจะทำให้โครงการหยุดชะงักและไม่สามารถคาดการณ์ระยะเวลาการก่อสร้างได้
ยืนยันว่าโครงการนี้เอกชนยังคงรับความเสี่ยงทางรายได้จากปริมาณผู้โดยสารเหมือนเดิมไม่ได้เสียผลประโยชน์แต่อย่างใด และการจ่ายตามความก้าวหน้าของการก่อสร้างเอกชนจะต้องโอนสิทธิ์ความเป็นเจ้าของให้รัฐเมื่อได้รับเงินร่วมลงทุนซึ่งจะช่วยให้โครงการนี้เกิดความมั่นคงและหากเอกชนไม่สามารถดำเนินการต่อได้รัฐก็ยังสามารถหาเอกชนรายใหม่มาดำเนินการต่อ ไม่เป็นปัญหาเหมือนโครงการโฮปเวลล์ในอดีต ขอยืนยันว่าการแก้ไขปัญหาตามหลักการจะทำให้รัฐมีความเสี่ยงลดลง รัฐจ่ายเงินร่วมลงทุนเท่าเดิมและรัฐได้ค่าสิทธิ์แอร์พอร์ตลิงก์เท่าเดิม.